มิติหุ้น – CKP เผยช่วงไตรมาส 1/62 โรงไฟฟ้าน้ำงึม2 ผลิตและขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่า 50% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน รวมทั้งได้รับปัจจัยหนุนจากโรงไฟฟ้าบางปะอินโคเจนฯ ขายไฟเต็มศักยภาพ ด้านโบรกฯ ประเมินกำไรโต 1,100% พร้อมปรับเป้าราคาเป็น 7 บาท เชียร์ “ซื้อ”
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ. ซีเค พาวเวอร์ หรือ CKP ผู้ประกอบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า โดยแหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรม เผยว่า ผลประกอบการช่วงไตรมาส 1/62 จะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนและไตรมาส 4/61 เนื่องจากโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ที่ สปป.ลาว มีประสิทธิการผลิตและขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่า 50% เทียบกับไตรมาส 1/61 ที่ผลิตและขายไฟฟ้าอยู่ที่ระดับ 374 ล้านหน่วย
นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยหนุนจากโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่น บางปะอิน (BIG) เฟส1 ที่มีกำลังการผลิต 118 เมกะวัตต์ ส่วนเฟส2 กำลังการผลิต 120 เมกะวัตต์ โดยขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โครงการละ 90 เมกะวัตต์ ที่เหลือขายให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ซึ่งไตรมาส1 นี้ขายไฟได้เต็มศักยภาพ
ทดสอบเดินเครื่องไซยะบุรี
ขณะเดียวกัน โครงการโรงไฟฟ้าไซยะบุรี ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,285 เมกะวัตต์ ได้ทดสอบเดินเครื่องชุดที่1 กลางเดือน มี.ค.62 ที่ผ่านมา โดยได้จ่ายไฟฟ้าให้กับ กฟผ.ซึ่งจะทำให้มีกระแสเงินสดเข้ามาทันทีแต่ใช้สำหรับลดต้นทุนของโครงการ ก่อนจะจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในเดือน ต.ค. 62 และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนการถือหุ้น 37.5%
เล็งพลังงานน้ำ 1,500 MW
ส่วนความคืบหน้าแผนลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำแห่งใหม่ใน สปป.ลาว ขนาดกำลังผลิต1,000-1,500 เมกะวัตต์ อยู่ในขั้นตอนเจรจากับรัฐบาล สปป.ลาว ซึ่ง CKP จะพยายามให้ได้ข้อสรุปภายในปีนี้ นอกจากนี้ ได้ศึกษาลงทุนโซลาร์ฟาร์ม โซลาร์รูฟท็อป โซลาร์ลอยน้ำเพิ่มเติม โดยมีเป้าหมายขยายกำลังการผลิตปีละ 5-10 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตโซลาร์รูฟท็อปในมือราว 6.5 เมกะวัตต์ จะทยอย COD ครบทั้งหมดในปีนี้
ปัจจุบัน CKP มีกำลังการผลิตติดตั้งที่ได้รับใบอนุญาต (PPA) ราว 2,167 เมกะวัตต์ COD แล้ว 875 เมกะวัตต์ไม่นับรวมโครงการไซยะบุรี ส่วนภาพรวมรายได้ในปี 62 คาดว่าจะเติบโตราว 8-10%
กำไรทะยาน 1,100% – อัพเป้า 7 บ.
ด้านแหล่งข่าวนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ประเมิน CKP ไตรมาส 1/62 คาดจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 1,100% หรือมีกำไรสุทธิในระดับ 140-150 ล้านบาท เทียบไตรมาส 1/61 ที่มีกำไรสุทธิ 12 ล้านบาท ดังนั้น ปรับราคาเป้าหมายจากเดิม 5.25 บาทเป็น 7 บาท มีอัพไซต์ 33% แนะนำ “ซื้อ”