CENTELเปิด4โรงแรมดันห้องพักเพิ่ม1,120 ห้อง โบรกยังแนะนำซื้อ 52.50 บ.

601

มิติหุ้น- CENTEL เตรียมเปิดให้บริการ 4 โรงแรม 1,120 ห้องทั้งไทยและต่างประเทศ ขณะไตรมาส2ช่วงโลว์ยอมรับผลประกอบการมีแนวโน้มปรับตัวลดลงเล็กน้อย ส่วนภาพรวมทั้งปีมั่นใจเติบโตดีกว่าปี 61 โบรกประเมินกำไรโต5% แนะซื้อ 52.50 บาท

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายว่า บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา หรือ CENTEL ผู้ประกอบการโรงแรมทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยนายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโส ฝ่ายการเงินและบริหาร เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส2/62 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาส1/62 เนื่องจากประเทศไทยเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (โลว์ซีซั่น)

“ในช่วงครึ่งปีแรก 62 จำนวนนักท่องเที่ยวปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะมีมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวจากภาครัฐบาลก็ตาม แต่คาดว่าช่วงครึ่งปีหลัง62 การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวดีขึ้นและจะดีดังนั้นขอให้ผ่านพ้นครึ่งปีแรกก่อนบริษัทจะมีการปรับประเมินรายได้ใหม่จากที่ตั้งเป้าไว้ว่ารายได้รวมปี 62 จะเติบโต5%” นายรณชิต กล่าว

ส่วนภาพรวมทั้งปี 62 ยังมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตดีกว่าปี 61 ที่มีรายได้รวม 21,803 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้จะมีการเปิดให้บริการโรงแรมเพิ่มเติมกว่า 4 แห่งรวม 1,120 ห้อง โดยแห่งแรกเป็นโรงแรมโคซี่ พัทยา จำนวน 282 เปิดให้บริการในเดือน ก.ย. 62 ส่วนอีก 3 แห่งเป็นการรับจ้างบริหารประกอบด้วย โรงแรมเซ็นทาราซันไรซ่าเรสซิเดนซ์แอนด์สวีท ศรีราชาจำนวน 150 ห้อง โรงแรมเซ็นทาราอ่าวนางบีชรีสอร์ทแอนท์สปา จ.กระบี่ จำนวน 179 ห้อง เปิดให้บริการเดือน ส.ค. 62 และโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์โฮเทลโดฮา ที่ประเทศกาตาร์จำนวน 509 ห้อง

ขณะเดียวกัน ในปีนี้เตรียมลงทุนโครงการใหม่เพิ่มที่ประเทศมัลดีฟส์ ได้ปรับพื้นที่แล้วคาดว่ามีจำนวนห้องราว 250-300 ห้อง และที่เชียงใหม่ 130-150 ห้องคาดว่าปลายปีนี้เริ่มดำเนินการก่อสร้างคาดว่าเปิดให้บริการได้ในปี 65 อย่างไรก็ตามในช่วง 3 ปี (62-64) บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 27,000 ล้านบาทรวมงบสำหรับซื้อกิจการและการปรับปรุงห้องพักด้วย

ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคที ซีมิโก้ ประเมินหุ้น CENTEL ว่า ในปี 62 คาดว่ามีกำไรสุทธิเติบโตเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปี 61 ที่มีกำไรสุทธิ 2,177 ล้านบาทตามการเปิดให้บริการโรงแรมและรับบริหารโรงแรมเพิ่มขึ้น ประกอบกับได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจอาหารที่คาดว่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยฝ่ายวิเคราะห์ยังคงแนะนำซื้อ และให้ราคาเป้าหมายที่ 52.50 บาท