สัปดาห์ที่ผ่านมาอาจจะเป็นช่วงเวลาคึกคักของตลาดหุ้นไทย หลังดัชนีทะยานขึ้นทะลุ 1,700 จุดไป แต่ทิศทางของตลาดในสัปดาห์นี้เริ่มเปลี่ยนไป โดย SET Index วันจันทร์ (24 มิ.ย.) ปิดทำการที่ระดับ 1,716 ลบไป -1.14 จุด (-0.07%) เราเริ่มเห็นทิศทางตลาดที่เคลื่อนไหวทรงตัว และมีการขายทำกำไรในหุ้นที่ขึ้นไปมากเมื่อสัปดาห์ก่อน ..
ประเด็นสำคัญมากต่อทิศทางตลาดในสัปดาห์นี้ คือ การเจรจาทางการค้าของจีนกับสหรัฐฯ โดยผู้นำของ 2 ประเทศจะพบกันในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ นับว่าเป็นเรื่องนักลงทุนจับตาดูกันอยู่ เพราะจะส่งผลต่อทิศทางตลาดอย่างมากไม่ว่าผลจะออกมาในด้านไหน อีกทั้ง แนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ลง ถือเป็นประเด็นที่ตลาดหุ้นปรับตัวได้สะท้อนข่าวไปค่อนข้างมากว่าอาจจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ เพราะมองว่าการเจรจาการค้าอาจจะไม่ราบรื่นนัก โดยตลาดคาดการณ์ว่า Fed อาจลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดคือการประชุม FOMC ในวันที่ 30-31 ก.ค. นี้
ขณะที่ประเด็นเรื่องข้อพิพาทของสหรัฐฯกับอิหร่าน ล่าสุดสหรัฐฯ ระงับการทำธุรกรรมการเงินกับผู้นำของอิหร่าน แม้ไม่มีผลต่อการผลิตน้ำมันโดยตรง แต่ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ตรึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นในปัจจุบันเป็นผลบวกต่อกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันและโรงกลั่น แต่หากราคาขยับขึ้นไปสูงมาก จะเกิดผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจได้
สำหรับปัจจัยในประเทศ ความชัดเจนจากการตั้งคณะรัฐมนตรี KTBST มองว่าเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นเพราะการ
ดังนั้นด้วยปัจจัยหลักคือเรื่องการเจรจาการค้า ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอความคืบหน้าของการพบกันของผู้นำประเทศทั้ง 2 เราจึงเห็นนักลงทุนย้ายการลงทุนเข้าไปซื้อสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำอย่างพันธบัตร , ทองคำ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยภาพรวมยังอยู่ในทิศทางที่ดี KTBST มองกรอบดัชนีสัปดาห์นี้ที่ระดับ 1,700-1,740 จุด โดยการลงทุนควรเน้นหุ้นที่ยังขึ้นไม่มาก (laggard) เช่น กลุ่มปิโตรเคมี , โรงกลั่นน้ำมัน , ธนาคาร ,โทรศัพท์ ,โรงไฟฟ้า รวมไปถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่ให้ผลตอบแทนดีและน่าจะได้ปัจจัยบวกหากดอกเบี้ยมีการปรับตัวลง ส่วนการลงทุนต่างประเทศ KTBST ยังให้น้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นจีนและอินเดีย ที่ยังได้ปัจจัยบวกนโยบายการลงทุนของรัฐบาล ติดตามข่าวสารการลงทุนได้จาก ”มุมความรู้” https://www.ktbst.co.th/th/knowledge.php