ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.มิตรสิบ ลิสซิ่ง หรือ MITSIB ผู้จำหน่ายและให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ มุ่งเน้นรถยนต์แท็กซี่และให้บริการเสริมต่างๆ โดย “นายณัชชา ยงค์สงวนชัย” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/62 จะเติบโตต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1/62 ที่มีกำไรสุทธิ 16.62 ล้านบาท และ รายได้รวม 100.81 ล้านบาท
ลูกค้าขอสินเชื่อเพียบ
เนื่องจากมีลูกค้ารายใหม่ๆเข้ามาขอสินเชื่อรถยนต์แท็กซี่เพิ่มมากขึ้น จากสิ้นไตรมาส 1/62 มีพอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2,900 สัญญา หรือคิดเป็นมูลค่า 1,600 ล้านบาท ประกอบกับช่วงไตรมาส 2/62 ภาระดอกเบี้ยจ่ายจะลดลง หลังจากบริษัทนำเงินที่ได้จากการระดมทุน IPO ไปชำระคืนวงเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน โดยเฉลี่ยทั้งปี 62 จะประหยัดดอกเบี้ยจ่ายถึง 30-40% จากปี 61 ที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายประมาณ 37 ล้านบาท
พร้อมกันนี้มั่นใจผลประกอบการไตรมาส 3และ4/62 จะเติบโตต่อเนื่อง เพราะบริษัทจะใช้กลยุทธ์รุก “สินเชื่อรถยนต์แท็กซี่” และ “สินเชื่อแฟคตอริ่ง” มากขึ้น โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจา “บิ๊กรับเหมาฯ” ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อปล่อย “สินเชื่อแฟคตอริ่ง” ล็อตใหญ่ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนเร็วๆนี้ ซึ่งการที่ “สินเชื่อแฟคตอริ่ง” ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 12% เมื่อเทียบกับรถแท็กซี่ที่ 7-9% จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความสามารถในการทำกำไรเพิ่มมากขึ้นด้วย
กำไรนิวไฮ-ชี้เป้า 2.80บ.
ส่วนความคืบหน้า 2 ธุรกิจใหม่ อย่าง “ธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ และ ธุรกิจสินเชื่อที่มีจำนำทะเบียนรถ” คาดจะได้ใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายใน 1-2 เดือนนี้ คาดจะเริ่มทำธุรกิจ และรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4/62 ดังนั้นทั้งปี 62 มั่นใจกำไรสุทธิจะเติบโตทำนิวไฮ และรายได้รวมเติบโตตามเป้าที่วางไว้ 30-35% จากปีก่อน
ด้าน “นักวิเคราะห์แห่งหนึ่ง” เผยว่า MITSIB เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จนล่าสุดมีกองทุนใหญ่ทั้งในไทยและสิงคโปร์ เข้ามาขอข้อมูลทางธุรกิจ เพื่อใช้ประกอบการลงทุนเซื้อหุ้นประมาณ 3-4 ราย ส่วน 2 ธุรกิจใหม่ อย่าง “ธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ และ ธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ” คาดจะได้ใบอนุญาตฯ ภายในไตรมาส 3/62 และเริ่มสร้างรายได้ในไตรมาส 4/62 ทำให้ทั้งปี 62 รายได้จะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ 30-35%
ส่วนการเจรจาเข้าซื้อกิจการ (เทกโอเวอร์) พอร์ตสินเชื่ออื่นๆนั้นจะเป็นอัพไซด์ให้กำไรและรายได้ในปี 63 ดังนั้นแนะนำ “ซื้อ” เป้าหมาย 2.80 บาท