ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.สมาร์ทคอนกรีต หรือ SMART ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานกั้นผนังอาคาร โดย “นายรังสี ทีปกรสุขเกษม” กรรมการผู้จัดการ เผยว่าถึงผลประกอบการไตรมาส 2/62 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 110.063 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 86.598 ล้านบาท จำนวน 23.465 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 27.10% และมีกำไรสุทธิ 5.714 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 10.353 ล้านบาท จำนวน 16.067 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 155.19%
ส่วนผลประกอบการครึ่งแรกปี 62 บริษัทมีรายได้รวม 217.261 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 175.045 ล้านบาท จำนวน 42.216 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.12% และมีกำไรสุทธิ 8.431 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 18.411 ล้านบาท จำนวน 26.842 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 145.79%
ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการเมกะโปรเจคขนาดใหญ่ของภาครัฐ โครงการอสังหาฯภาคเอกชน เริ่มมีการลงทุนเพิ่ม ทำให้ปริมาณการใช้งานวัสดุอิฐมวลเบาและอิฐมวลเบาประเภทตกแต่งเพิ่มขึ้น อีกทั้งราคาจำหน่ายอิฐมวลเบาปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 35.011 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 16.17% หรือเพิ่มขึ้น 31.531 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 906.04% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 3.480 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทได้เสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทรุ่นที่ 2 (SMART-W2) มีการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 92,000,048 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 460,000,240 บาทเป็น 552,000,288 บาท สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร พัฒนาผลิตภัณฑ์ พัฒนาระบบงานต่างๆ เช่น โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการผลิต ระบบบริหารคลังสินค้า และระบบจัดส่งสินค้า ซื้อแหล่งวัตถุดิบ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งในการแข่งขันและรองรับคำสั่งซื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะมีโอกาสเติบโตอีกมากในอนาคต โดยเฉพาะงานส่งออกในประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับแนวโน้มธุรกิจของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลัง ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาในประเทศ มีทิศทางที่ดี โดยมีปัจจัยจากความต้องการวัสดุก่อสร้างนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EEC การลงทุนในโครงการเมกะโปรเจคขนาดใหญ่ งานก่อสร้างอาคารสถานีรถไฟฟ้าสายต่างๆที่เริ่มดำเนินโครงการต่อเนื่อง และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทยอยลงทุนในโครงการใหม่มากขึ้น อาทิ งานอาคารสูง ห้างสรรพสินค้า และที่พักอาศัยแนวราบ ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาปรับตัวดีขึ้น
ปัจจุบันบริษัทยังคงเดินหน้าแผนขยายฐานลูกค้ารายย่อย ผู้ออกแบบ ผู้รับเหมา ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมีการกระจายผลิตภัณฑ์ผ่านร้านโมเดิร์นเทรดชั้นนำในทุกภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันมีวางจำหน่ายในไทวัสดุจำนวน 48 สาขา โกลบอลเฮ้าส์ 17 สาขา อีกทั้งมุ่งเน้นการใช้กลยุทธ์ O2O (Online to Offline) สร้างการรับรู้กับลูกค้าในวงกว้าง ผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย เพื่อกระตุ้นการสร้างยอดขายให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปด้วย ที่ผ่านมากลยุทธ์ดังกล่าวมีกระแสการตอบรับที่ดีมาก ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้ารายย่อยทั่วประเทศ
ส่วนตลาดในกลุ่มประเทศ AEC บริษัทได้รุกตลาดในประเทศ สปป.ลาวมากขึ้น โดยมีแผนเพิ่มตัวแทนจำหน่ายให้ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ เนื่องจากความต้องการใช้งานในสปป.ลาวมีการขยายตัวค่อนข้างมาก ปัจจุบันมีออเดอร์สินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนตลาดในประเทศกัมพูชา ยังเติบโตดีมีปริมาณคำสั่งซื้อต่อเนื่อง คาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2-3 %
“บริษัทยังคงเดินหน้าทำการตลาดเชิงรุก แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จักและผลักดันสินค้าผ่านทุกช่องทางการจำหน่าย ส่วนของโครงการภาครัฐ-เอกชนขนาดใหญ่ก็ยังเดินหน้าทำตลาดต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่” นายรังสี กล่าว
www.mitihoon.com