NER ฉายแววครึ่งหลังโดดเด่น ชี้ไตรมาส2กำไรมโหฬาร (7/08/62)

290

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น”รายงานว่า บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางพาราธรรมชาติแปรรูป โดยนายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2562 ยังมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 2/2562 และช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนนั้นบริษัทไม่ได้รับผลกระทบ เพราะส่วนใหญ่เน้นขายในประเทศเป็นหลัก

“ ผลงานไตรมาส  2/2562  เติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 เติบโตได้มากกว่าเป้าหมาย เนื่องจากราคายางได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้ ส่งผลดีทำให้การรับรู้รายได้ต่อเนื่องมาในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ด้วย อีกทั้งในช่วงครึ่งปีหลังยอดออเดอร์ได้ไหลยาวถึงเดือนพฤศจิกายน 2562 แล้ว” นายชูวิทย์กล่าว

สำหรับแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการทั้งปี ยังคงมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตได้ที่ระดับ 13,500 ล้านบาท เปรียบเทียบกับปี 2561 ที่มีรายได้จำนวน 10,084.01 ล้านบาท กำไรสุทธิจำนวน 486.46 ล้านบาทพร้อมกันนี้บริษัทมีโอกาสได้รับออเดอร์จากลูกค้าจีนรายอื่นๆ เพิ่มเติม เพราะมีลูกค้ารายเดิมเตรียมย้ายฐานผลิตมาไทยอีก 2 ราย ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้

นอกจากนี้ยังรับรู้กำลังการผลิตใหม่เต็มไตรมาส จากการขยายกำลังการผลิตยางแผ่นผสมตั้งแต่ เม.ย.จำนวน 60,000 ตัน/ปี ทำให้กำลังการผลิตในปัจจุบันอยู่ที่ 227,200 ตัน/ปี

โบรกส่องกำไรพุ่งสุดโต่ง

ด้านบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ในไตรมาส 2/2562 คาด NER จะมีกำไรสุทธิ 165 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 248% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 47 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 63% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนอยู่ที่ 101 ล้านบาท เนื่องจากการขยายกำลังการผลิตรองรับคำสั่งซื้อเพิ่ม ส่งผลให้ยอดขายอยู่ที่ 3,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

โดยมาจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น 40% ที่ 68,229 ตัน ราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หากจากไตรมาสก่อนคาดปริมาณขายลดลง 1% แต่ราคาขายเพิ่มขึ้น 10% แม้ราคาขายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ด้วยต้นทุนวัตถุดิบที่เร่งตัวขึ้นมากในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้มาร์จิ้น (margin) เพิ่มน้อยกว่าคาด อยู่ที่ 8.50% จาก 8.20% ในไตรมาส 1/2562 แต่ลดจาก 10% ในไตรมาส 2/2561

ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามปริมาณขายเพิ่มขึ้น และคาดแนวโน้มดอกเบี้ยจ่ายลดลงจากการจ่ายคืนเงินกู้หลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 266 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 166 ล้านบาท

เคาะเป้าหมาย 3.48 บาท

ดังนั้น คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 3.48 บาท/หุ้น ขณะเดียวกันจากอุปทานยางที่ทยอยมากขึ้นหลังเปิดกรีด และไม่ได้รับผลจากภัยแล้งที่เกิดขึ้น ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้แนวโน้มการดำเนินงานในครึ่งปีหลังจะอ่อนลงกว่าในครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตามการย้ายฐานของลูกค้ามาประเทศไทยช่วยทำให้การขายยังจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ได้