5 อันดับข่าวเด่นมิติหุ้นภาคบ่าย

248

อันดับที่ 1 TOG ดีดแรง ผู้บริหารมอง นลท.เชื่อมั่นเพิ่ม คาดรายได้โต 7-8% รุกเจาะลูกค้าต่างประเทศ

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ. ไทยออพติคอล กรุ๊ป หรือ TOG โดยนายธรณ์ ประจักษ์ธรรม กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า ราคาหุ้น TOG ช่วงเช้าที่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น มองว่านักลงทุนได้ให้ความเชื่อมั่นต่อบริษัทเป็นอย่างมาก หลังจากที่แนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทเน้นสินค้าพรีเมี่ยมเจาะฐานลูกค้าในต่างประเทศเป็นหลัก ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตได้ 7-8%  ตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยปีนี้จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 30 ล้านชิ้นต่อปี จากเดิมที่กำลังการผลิตอยู่ที่ 28 ล้านชิ้นต่อปี  ซึ่งขณะนี้ได้ลงทุนเครื่องจักรเสร็จสิ้นแล้ว เหลือเพียงกระบวนการติดตั้ง ซึ่งจะแล้วเสร็จพร้อมดำเนินการได้ภายในปีนี้ โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทแบ่งเป็น การขายโซนยุโรป 40-45%  และโซนเอเชีย 25-30% ส่วนที่เหลือเป็นสหรัฐอเมริกา

อันดับที่ 2 JMART เดินหน้าระดมทุนผ่าน ICO ตามแผน กูรูเคาะต้าน 24.80 บ.

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า ราคาหุ้น  บมจ.เจ มาร์ท หรือ JMART การซื้อขายภาคบ่ายปรับตัวขึ้นสูงสุด 23.80 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ +4.38% ล่าสุด (15.00น.) ราคาอยู่ที่ 23.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือ +3.51% ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายปี 2561 กลุ่มเจมาร์ทเติบโตอีก 30% เมื่อเทียบกับปี 2560 โดยวางงบการลงทุนรวมทั้งกลุ่มไว้กว่า 19,000 ล้านบาท เพื่อปรับโฉมธุรกิจเข้าสู่ยุคดิจิตอล รองรับการเติบโตในอนาคต ตามกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ “The Power of Synergy Chapter III” และมีแผนเดินหน้าระดมทุนด้วยดิจิทัล โทเคน “JFin” Coin ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (Initial Coin Offering: ICO) ตามแผน เตรียมเปิดขาย Presale วันแรก 14 – 28 กุมภาพันธ์นี้  ด้านนักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ประเมินพื้นฐานธุรกิจ  JMART แข็งแกร่ง โดยมีสัดส่วนกำไรราว 50% ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 25 บาท อิง P/E  1 เท่า ตามอัตราการเติบโตที่ราว 30% ด้านนักวิเคราะห์ บล.ธนชาต ประเมินราคาหุ้นทางเทคนิคเริ่มฟื้นตัว นักลงทุนหาจังหวะเข้าลงทุนได้ ให้แนวต้านที่ 24.80

อันดับที่ 3 TRUBB เนื้อหอม! คู่ค้าใน-นอกรุมจีบ อัพกำลังผลิตเพิ่มเท่าตัว ปั๊มรายได้ปีนี้โต 10%

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ. ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) หรือ TRUBB  โดย นายวรเทพ วงศาสุทธิกุล ประธานกรรมการ  เปิดเผยว่า  ปัจจุบันมีผู้ประกอบการหลายรายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เข้ามาเจรจารกับบริษัท เพื่อต้องการร่วมทุนเป็น Strategic partner แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป และยังไม่สามารถระบุได้ว่าภายในปีนี้จะได้เห็นความคืบหน้าหรือไม่ ทั้งนี้ บริษัทคาดรายได้ปีนี้จะเติบโตได้ 10% จากความต้องการใช้น้ำยางข้นที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่าภายในปีนี้อุตสาหกรรมยางที่ขายตัวได้3-5%  ขณะเดียวกัน บริษัทยังประเมินว่าปริมาณการขายปีนี้จะอยู่ประมาณ 160,000 ตัน จากกำลังการผลิตของบริษัทที่สามารถทำได้ 250,000 ตันต่อปี  พร้อมกันนี้ ภายในระยะ 5 ปี บริษัทฯ จะเพิ่มกำลังการผลิตอีกเท่าตัว เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ราคายางในช่วงเวลานั้นด้วย หากแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ทางบริษัทพร้อมที่จะลงทุนทันที

อันดับที่ 4 WORK กูรูคาดขาดทุนไตรมาส 4/60

บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ประเมินว่า WORK จะมีผลขาดทุนสุทธิ 51 ล้านบาทในไตรมาส4/2560 จากขาดทุน 72 ล้านบาทใน ไตรมาส4/2560  และกำไร 380 ล้านบาทใน ไตรมาส3/2560  คาดว่ารายได้จากธุรกิจ TV จะลดลง 33% qoq เหลือ 639 ล้านบาท utilization จะลดลง 24 ppt qoq เหลือ 48% จากผลกระทบช่วงพระราชพิธี แม้ว่าเรตติ้งของช่องจะเพิ่มขึ้น 3% yoy จากฐานที่สูงใน 4Q16 แต่อัตราค่า โฆษณาของ WORK ยังน่าจะเพิ่มขึ้นถึง 40% yoy เป็น 81,000 บาท จากอำนาจต่อรองที่สูงของช่องก็ตาม  ส่วนแผนปี 2561 บริษัทมีแผนเปิดตัวรายการวาไรตี้ โชว์ใหม่ๆ อีกกว่า 10 รายการ ในเดือนมกราคาม 2561 ก็ยังคงแข็งแกร่งที่ 78% อัตราค่าโฆษณาน่าจะเพิ่มขึ้น qtd จาก 81,000 บาทใน 4Q17  จึงให้ราคาเป้าหมายที่ 108 บาท ส่วนความเคลื่อนไหวราคาหุ้นวันนี้ราคาสูงสุด 83.25 บาท/หุ้น บวก 0.25 บาท หรือ +0.30 % ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 75.36 ลบ. นอกจากนี้ยังพบรายการซื้อขายหลักทรัพย์บนกระดานใหญ่ หรือ BIGLOT จำนวน 1 รายการ 310,000 หุ้น ราคาเฉลี่ย 82.50 บาท/หุ้น มูลค่ารวม 25.57 ล้านบาท

อันดับที่ 5 STEC โชว์ แบ็กล็อกปี 61 หรูพุ่งสูงสุดกว่าแสนลบ.

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บล.เอเชีย เวลท์ ประเมินบมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสรัคชั่น หรือ STEC โดยคาดว่า ไตรมาส 4/60 และปี 2560 เป็นปีที่กำไรยังอ่อนแอที่ 280 ล้านบาท ส่วนทั้งปี 2560 คาดได้กำไร สุทธิ 989 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ STEC จะทำกำไรไม่น่าประทับใจ แต่คาดว่าในปี 2561-2563 รายได้และกำไรของ STEC จะยกฐานขึ้นจากระดับรายได้ 17,000 ล้านบาท และกำไรต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ขึ้นไปสู่ฐานใหม่ เป็นระดับรายได้ 30,000 ล้านบาทขึ้นไป และกำไรประมาณ 1,500 ล้านบาท ขณะที่ Backlog ปีนี้คาดว่าจะพุ่งสูงถึง 112,700 ล้านบาท จึงปรับคำแนะนำจากเดิมถือ เป็น “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 25.00 บาท เป็น 28.50 บาท โดยอิงค่า EV/EBITDA ที่ 12 เท่า