อันดับที่ 1 SEAFCO คว้าเพิ่ม 3 งาน มูลค่า 102 ลบ.
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ. ซีฟโก้ หรือ SEAFCO โดยนายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับงานใหม่เพิ่มเติม 3 งาน มูลค่าโครงการ (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เป็นเงิน 102,000,000.00 บาท (หนึ่งร้อยสองล้านบาทถ้วน) ประกอบด้วย 1. โครงการก่อสร้างพญาไท คอมเพล็กซ์, ถนนพญาไท กทม. ลักษณะของงาน กำแพงกันดิน ระบบไดอะแฟรมวอลล์ ผู้ว่าจ้างคือ บริษัท ก้ามกุ้ง พร็อพเพอร์ตี้จำกัด ซึ่งเข้าดำเนินการแล้ว ตั้งแต่กลางเดือน ม.ค.2561, 2. โครงการก่อสร้างเดอะ ปาร์ค, ถนนพระราม 4 กทม. ลักษณะของงาน เสาเข็มกันดิน และเสาเข็มเจาะแบบกลม ผู้ว่าจ้างคือ บริษัท นันทวัน จำกัด เข้าดำเนินการแล้ว ตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ.2561 และ 3. โครงการก่อสร้างอาคารจอดรถโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี่, ถนนเจริญกรุง กทม. ลักษณะของงาน เสาเข็มเจาะแบบกลม และกำแพงกันดินระบบไดอะแฟรมวอลล์ ผู้ว่าจ้างคือ บริษัท ฤทธา จำกัด เข้าดำเนินการแล้ว ตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค.2561
อันดับที่ 2 CGD ไตรมาส4/60 ผลประกอบการพีคสุด ปี61 ตั้งเป้ารายได้ปี 61 โต 5-6 พันล้านบาท พร้อมลุยพัฒนา 2 โครงการใหญ่
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ หรือ CGD โดยนายเบน เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส4/2560 จะพีคสูงสุดของปีเนื่องจากจะรับรู้รายได้จากการโอนคอนโดมิเนียมโครงการอิลีเม้นท์ ศรีนครินทร์ ราว 500 ล้านบาท อีกทั้งยังมีรายได้ค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนเข้ามาหนุน ทำให้ผลการดำเนินงานในปี 60 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ขณะปี 2561 ตั้งเป้ารายได้ 5-6 พันล้านบาทจากปัจจัยหนุนโครงการโฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเด้นซ์ กรุงเทพ ณ แม่น้ำเจ้าพระยา มูลค่าราว 2.1 หมื่นล้านบาทซึ่งขายแล้วกว่า 70% คาดว่าจะโอนได้หมดปลายปีนี้ และมีโอกาสดีที่จะกลับมาพลิกบวกได้ ส่วนแผนการดำเนินงานในปีนี้เตรียมพัฒนา 2 โครงการ
อันดับที่ 3 BIG บวกกระชากใจ 6 วัน บวกกว่า 22% ด้านกูรู เคาะซื้อ เป้าหมาย 4.30 บ.
ผู้สื่อข่าว”มิติหุ้น”รายงานความเคลื่อนไหว ราคาหุ้น บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BIG พบว่าได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ระยะ 6 วันทำการ จากเมื่อวันที่ 7 ก.พ.61 มีราคาปิดตลาดอยู่ที่ 2.76บาท โดยภายในวันนี้ (15 ก.พ.61) มีราคาสูงสุดที่ 3.38บาท เพิ่มขึ้น 0.62บาท หรือ 22.46% ด้าน ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป เผยว่า แนวโน้มผลประกอบการของ BIG ในช่วงไตรมาส 4/2560 จะเติบโตอย่างโดดเด่น เบื้องต้นจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาส3/2560 ราว 90% สำหรับแนวโน้มปี 2561 ทางบริษัทเชื่อว่า BIG จะทำการกระตุ้นยอดขายอย่าง ดังนั้นแนะนำ ซื้อ โดยมีราคาเป้าหมายพื้นฐานที่ 4.30บาท ด้าน บล.กรุงศรี ประเมิน BIG ว่า แนวโน้มผลประกอบการของปี2561 จะเติบโตได้ดี ดังนั้นแนะนำ ซื้อโดยมีราคาเป้าหมายพื้นฐานที่ 4.30บาท
อันดับที่ 4 ACAP วางเป้าปี 61 พอร์ตสินเชื่อโต 20% รับเศรษฐกิจฟื้น กูรูเชียร์ซื้อเก็งกำไร ให้ต้าน 13.50 บ.
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า ราคาหุ้น บมจ.เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป หรือ ACAP ณ เวลา 11.14 อยู่ที่ระดับ 12.60 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือ 3.28% ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป ประเมินราคาหุ้นเริ่มมีการปรับตัวดีขึ้น แนะนำให้เก็งกำไร โดยประเมินแนวต้านที่ 13.50 บาท ด้านแหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรม กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อเติบโต 61 เติบโตได้ 20% จากปีก่อนคาดว่าจะอยู่ที่ 6,000 ล้านบาท หลังภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการใช้สินเชื่อมากขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตสินเชื่อรอการอนุมัติอยู่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเอกชนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนนี้บริษัทในช่วงไตรมาส 1/60 คาดว่าจะได้ข้อสรุปจากการร่วมทุนกับพันธมิตรในต่างประเทศที่จะเข้ามาปล่อยสินเชื่อในไทย บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ปีนี้ประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มล็อตแรก 800-1,000 ล้านบาท ช่วงเดือน ก.พ. นี้ นำเงินมารองรับการปล่อยสินเชื่อในอนาคต
อันดับที่ 5 STEC ขาดทุน 610 ลบ.ราคาร่วงแรงโบรกแนะหลีกเลี่ยงลงทุน
มิติหุ้น-บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น หรือ STEC ราคาเช้านี้ปรับตัวลงแรง 9.40 % ที่ 21.20 บาท/หุ้น ส่วนราคาล่าสุด(11.19 น.) อยู่ที่ 21.90 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ -6.41 % ด้วยมูลค่า 962.09 ล้านบาท ภายหลังประกาศผลประกอบการปี 2560 ขาดทุน 610.8 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.40 บาท เทียบกับปี 2559 ที่มีกำไรสุทธิ 1,380.75 ล้านบาท ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)โนมูระ พัฒนสิน มองว่า Negative ต่องบไตรมาส4/2560 ของ STEC ตั้งสำรองขาดทุนโครงการรัฐวภา 2,973 ล้านบาท คิดกเป็น 1.95 บาท/หุ้น เบื้องต้นเราคาดการตั้งสำรองดังกล่าวจะกระทบต่อคาดการผลประกอบการในปี 2561 อีกราว-8.35 % ส่งผลต่อการปรับราคาเป้าหมายจาก 33.50 บาท/หุ้น เหลือ 30.70 บาท/หุ้น อย่างไรก็ตามประเมินว่าการตั้งสำรองโครงการรัฐสภาน่าจะเป็นครั้งใหญ่ที่สุดแล้ว แต่การส่งมอบพื้นที่ล่าช้าทำให้โครงการล่าช้าไม่ใช่ความผิดของ STEC จึงมีโอกาสเรียกร้องค่าชดเชยได้ จึงแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน