มิติหุ้น-กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่ามีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 30.25-30.50 ต่อดอลลาร์เทียบกับระดับปิดอ่อนค่าที่ 30.32 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 4 สัปดาห์ท่ามกลางความระมัดระวังต่อท่าทีของทางการ หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งสัญญาณว่าจะเข้าดูแลหากเงินบาทแข็งค่ามากเกินไป ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้น 6.7 พันล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรสุทธิ 8.7 พันล้านบาท
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า ตลาดโลกจะจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันที่ 11 ธ.ค.ซึ่งคาดว่าจะมีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.50-1.75% ตามเดิม ขณะที่การประชุมธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี)และผลการเลือกตั้งในสหราชอาณาจักรวันที่ 12 ธ.ค. จะอยู่ในความสนใจของตลาดเช่นกัน ส่วนกระแสข่าวเกี่ยวกับการการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังคงเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับทิศทางตลาดการเงินโลกก่อนการเก็บภาษีสินค้านำเข้ารอบใหม่วันที่ 15 ธ.ค. ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า ข้อตกลงการค้ากับจีนอาจต้องรอหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน พ.ย. 2563 ซึ่งกดดันบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐยังกล่าวว่า จะกลับมาเก็บภาษีศุลกากรจากเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมที่นำเข้าจากบราซิลและอาร์เจนตินา เนื่องจากเกษตรกรสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าของสกุลเงินเรียลของบราซิลและเปโซของอาร์เจนตินา
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ธปท.ระบุว่าทิศทางของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิมโดยแนวโน้มเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายเงินบาทมากขึ้น ส่วนการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยลดลงและแรงขายทองคำลดลงเช่นกัน รวมถึงเงินบาทแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังกังวลกับการแข็งค่าของเงินบาท โดยได้เข้าดูแลบางช่วงซึ่งธปท.จะติดตามดูแลการเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดต่อไปและพร้อมออกมาตรการเพิ่มเติมกรณีเงินบาทยังแข็งค่าเร็วเกินไป เราให้ความสนใจกับความเห็นลักษณะนี้จากทางการโดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าค่าเงินบาทกำลังจะกลับทิศ อนึ่ง เราคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีเงินบาทจะพักฐานและเคลื่อนไหวในกรอบที่อ่อนค่าลงได้บ้างหลังจากทำสถิติเป็นสกุลเงินที่แข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาค ขณะที่กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายในระยะนี้ยังคงไร้ทิศทางโดยเป็นการโยกเงินเข้าออกตลาดหุ้นและพันธบัตรสลับกันไป