ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.โรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ ภายใต้ชื่อย่อ “IMH” ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) พร้อมทั้ง แต่งตั้ง บล. โกลเบล็ก จำกัด และ บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 55 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25.58 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด โดยมีมูลค่า ที่ตราไว้ 0.50 บาท
นายกอบเกียรติ บุญธีรวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเชีย เวลท์ ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Lead Underwriter) IMH เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ของ IMH ที่ระดับ 6.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าการระดมทุน 330 ล้านบาท
สำหรับการเสนอขายหุ้น IMH เตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อ IPO ระหว่างวันที่ 18 – 20 ธ.ค.นี้ โดยจองผ่าน บล.เอเชีย เวลท์ จำกัด ,บล.โกลเบล็ก จำกัด และ บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) และคาดว่าหุ้น IMH จะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ภายในวันที่ 26 ธ.ค.นี้
ความน่าสนใจของหุ้น IMH นั้น มองว่า เป็นโรงพยาบาลที่ให้บริการแบบเชิงรุกนอกสถานที่ (Mobile Checkup) พร้อมด้วยประสบการณ์ให้บริการตรวจสุขภาพนอกสถานที่ 23 ปี ซึ่งมีจุดเด่นที่มีกลุ่มลูกค้าครอบคลุมในหลายอุตสาหกรรมทั่วประเทศ พร้อมบริการตรวจสุขภาพครบวงจรในแบบต่างๆ เช่น ตรวจสุขภาพประจำปี, ตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว, ตรวจสุขภาพตามปัจจัยเสี่ยง, ตรวจสุขภาพก่อนเข้างาน, บริการฉีดวัคซีน, บริการหน่วยปฐมพยาบาล และ CPR ด้วยศักยภาพรองรับการตรวจสุขภาพลูกค้าได้มากถึง 5,000 คน ต่อวัน และให้บริการได้สูงสุดถึง 31 จุดบริการต่อวัน จึงครอบคลุมได้เกือบทุกพื้นที่
ด้าน ดร.สิทธิวัตน์ กำกัดวงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IMH กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของ IMH ที่ระดับ 6.00 บาท นั้น ถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสม เมื่อพิจารณาโอกาสในการเติบโตจากการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ในอนาคต โดยในจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมด 55 ล้านหุ้น ในขณะนี้ได้มีสถาบัน แสดงความสนใจ และต้องการจองซื้อหุ้น IPO ของบริษัทฯ จำนวน 5.54 ล้านหุ้น หรือ 10.07% ของจำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวบริษัทของนักลงทุนสถาบัน
ส่วนการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯได้เม็ดเงินจากการระดมทุน จำนวน 330 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในปรับปรุง และขยายสาขาใหม่ พร้อมทั้งการจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ของบริษัทย่อย อีกทั้งเพื่อใช้สำหรับการชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
ด้วยจุดแข็งการเป็นโรงพยาบาลที่ให้บริการแบบเชิงรุกนอกสถานที่ (Mobile Checkup) ครอบคลุมลูกค้า หลายอุตสาหกรรม ทั่วประเทศ ที่มีประสบการณ์ในการให้บริการ ด้านการตรวจสุขภาพมานาน 23 ปี โดยได้รับการการันตี จากฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง และได้รับความไว้วางใจอย่างเสมอมา อาทิ Thai Union Group , Tesco Lotus , 7-11 , PTTEP , KFC , Makro , Homepro , Mcdonald’s , King Power, Thai Honda, Western Digital, Index Living, Betagro, TQM, PT group และ Gulf เป็นต้น
พร้อมกันนี้ ยังมีบริษัทย่อย ภายใต้ชื่อ แอคคิวฟาส แล็บ เซ็นเตอร์ จำกัด ซึ่งให้บริการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมมานาน 14 ปี เช่น การตรวจคุณภาพอากาศบริเวณสถานประกอบการ การตรวจวัดคุณภาพปล่องระบาย และการตรวจวัดคุณภาพน้ำที่อุปโภคและบริโภครวมถึงน้ำทิ้ง น้ำผิวดิน โดยมีห้องปฎิบัติการได้รับมาตรฐาน ISO 9001:2015 ISO/IEC 17025:2005 และการจัดอันดับการออกผลจาก EQA:SC อันดับต้นๆ
ทั้งนี้จากศักยภาพ และความเชี่ยวชาญ จึงส่งผลให้ IMH ได้ลงนามในสัญญาแบ่งส่วนรายได้การตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลที่เป็นสมาชิกประกันสังคม โดยสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนด้านการให้บริการการตรวจสุขภาพ โดย IMH จะเป็นโรงพยาบาลให้บริการตรวจสุขภาพนอกสถานที่ ทั้งพนักงานบริษัทเอกชน และแรงงานต่างด้าว ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ให้บริการตรวจสุขภาพเชิงรุก แก่ผู้ประกันตน ประมาณ 300,000 คน และมีแนวโน้มที่ผู้ใช้บริการจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ในปี 2562 ที่มีถึง 11.30 ล้านคน (อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ)
“ จากความแข็งแกร่ง และแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจ จึงมีความมั่นใจว่า หุ้น IMH จะเป็นหุ้น Growth Stock ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ด้วยนโยบายการจ่ายปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ ดังนั้นด้วยนโยบายการลงทุนและขยายธุรกิจในแต่ละครั้ง จะสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ ผู้ถือหุ้นอย่างแน่นอน”
นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บล.โกลเบล็ก จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมถึงความแข็งแกร่งของหุ้น IMH ว่า ประเทศไทยถือเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของธุรกิจการให้บริการตรวจสุขภาพและธุรกิจการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อม จึงทำให้ธุรกิจนี้มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความชำนาญในการให้บริการแก่ลูกค้าจำนวนค่อนข้างมาก จึงทำให้มีการใช้เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์เพิ่มขึ้น และช่วยเพิ่มอำนาจการต่อรองต่อผู้จัดจำหน่ายแก่บริษัท และทำให้บริษัทมีจุดแข็งในการแข่งขันด้านราคา
สำหรับการดำเนินธุรกิจใช้แนวทางบริหารรายได้เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของรายได้ตามฤดูกาลของธุรกิจตรวจสุขภาพประจำปี จึงทำให้บริษัทมีรายได้เติบโตกระจายไปในธุรกิจบริการทางการแพทย์อื่นๆเพิ่มขึ้น โดยผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีย้อนหลังปี2559 – 2561 และงวด 9 เดือน ปี 2562 กลุ่มบริษัทฯมีรายได้รวม 285.51 ล้านบาท 273.20 ล้านบาท 320.25 ล้านบาท และ 237.32 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 37.58 ล้านบาท 14.85 ล้านบาท 14.06 ล้านบาท และ 6.72 ล้านบาท ตามลำดับ
www.mitihoon.com