ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ซาบีน่า หรือ SABINA โดย “บล.หยวนต้า(ประเทศไทย)” เปิดเผยว่า คาดช่วงไตรมาส 4/62 จะทำกำไรสุทธิที่ 84 ล้านบาท เติบโต 11%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 28% เมื่อเทีบกับช่วงไตรมาสก่อน ส่วนรายได้คาดอยู่ที่ 819 ล้านบาท เติบโต 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 3%เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
โดยการเติบโต เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนนั้น ได้แรงหนุนจากยอดขายกิจกรรม 11.11 ที่ได้รับการตอบรับดีมาก สินค้าใหม่ทำรายได้ได้ดีต่อเนื่อง ตลาด NSR เติบโต การส่งออก (OEM) ฟื้นตัวจากการเลื่อนการส่งมอบ คาดอัตรากำไรขั้นต้นที่ 54.3% ทรงตัวจาก 54.0% ในไตรมาส3/62 และไตรมาส 4/61 ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายอยู่ที่ 41.0% เพิ่มขึ้นจาก 36.8% ในไตรมาส3/62 ตามฤดูกาลที่มักมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานจำนวนมากในไตรมาส 4 แต่ลดลงจาก 42.4% ในไตรมาส4/61 ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นทำให้สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ต่ำลง
ส่วนปี 2563 เป็นปีที่ปัจจัยเรื่องการบริโภคในประเทศมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงได้ จากภาระหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น การจ้างงานที่น้อยลง จึงเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของตลาดชุดขั้นในเช่นกัน แม้เป็นตลาดที่ผู้เล่นรายหลักไม่มากแต่เป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงเช่นกัน การเติบโตของยอดขายในกประเทศที่สูงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อาจทำให้ลูกค้ากลุ่มเดิมมีของเดิมไว้ใช้มากพอซึ่งจะส่งผลให้อัตราการซื้อใหม่ชะลอลงได้
ขณะที่การเติบโตจากการส่งออกไปยัง CLMV ยังมีโอกาสสูงแต่ก็ยังมีสัดส่วนรายได้ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นการเติบโตในปี 2563 ส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพาการเติบโตจากมาจิ้นเป็นหลักเพราะยังขยายพอร์ตสินค้าที่มาจากการจ้างผลิต (Sourcing) ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงได้อีก ขณะที่การเติบโตด้านรายได้อาจท้าทายมากขึ้น เราปรับประมาณการรายได้ปี 2563 ลง 6.3% เป็น 3,420 ล้านบาท เติบโต 4.5% จากปีก่อน ปรับ GPM ขึ้นจาก 53.3% เป็น 54.2% โดยสุทธิแล้วส่งผลให้กำไรสุทธิลดลงจากประมาณการเดิม 3% เป็น 422 ล้านบาท เติบโต 5.5% จากปีก่อน และปรับประมาณการกำไรปี 2564 – 2567 ลง 8.2%, 13.9%, 10.7% และ 2.7% ตามลำดับ
ผลของการปรับประมาณการลง และการปรับเพิ่ม WACC จาก 5.6% เป็น 5.8% เพื่อสะท้อนความเสี่ยงด้านการเติบโตที่อาจลดความน่าตื่นเต้นลง ได้ราคาเป้าหมายใหม่ ณ สิ้นปี 2563 อยู่ที่ 31.00 บาท (DCF) เทียบเท่า PER2563 ที่ 26 เท่า ลดลงจากราคาเป้าหมายเดิมที่ 36.50 บาทเทียบเท่า PER2563 ที่ 31 เท่า
ทั้งนี้เชื่อว่าเป็นระดับราคาที่สะท้อนการเติบโตที่ลดความน่าตื่นเต้นลงไปแล้ว ราคาตลาดที่พักฐานลงมา เรามามองว่า Panic เกินไป ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER2563 ต่ำเพียง 19.7 เท่า แม้เติบโตไม่สูงแต่ยังเติบโตได้ แต่หากผลิตภัณฑ์ใหม่ตอบโจทย์ได้ดีกว่าคาด หรือการเติบโตใน NSR กลับมาเร่งตัวขึ้นเป็น Upside ต่อประมาณการ นอกจากนี้บริษัทยังคงนโยบายปันผล 100% ของกำไรสุทธิ เราคาดปี 2563 ที่ 1.22 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 5.1% และยังมีเงินปันผลที่เหลือในช่วง 2H62 อีก 0.62 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 2.6% คงคำแนะนำ ซื้อ