มิติหุ้น-วายแอลจีไขข้อข้องใจทำไมทองตกพร้อมตลาดหุ้นดิ่ง เหตุนักลงทุนในหุ้นโดนเรียกหลักประกันเพิ่ม จำเป็นต้องขายทองเพื่อนำเงินไปเติมหลักประกัน มองระยะสั้นหุ้นยังมีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่อง แต่หากเทียบประวัติศาสตร์ช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ทองคำจะฟื้นตัวไวกว่าตลาดหุ้น และช่วงดอกเบี้ยติดลบผลตอบแทนจากทองคำจะสูงกว่าดอกเบี้ยถึง 2 เท่า ส่วนปัจจัยบวกทองคำปีนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลงทั้งปัจจัยเศรษฐกิจที่เสี่ยงเผชิญภาวะถดถอยจาก Covid-19 นโยบายดอกเบี้ยต่ำ และความไม่สงบทางการเมืองทั่วโลกยังหนุนราคาทองให้ไปต่อ เพียงแต่ต้องรอให้ตลาดกลับสู่ภาวะปกติ ส่วนเทคนิคการลงทุนระยะสั้นแนะขายทำกำไรที่ 1,558-1,593 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนนักลงทุนระยะยาวรอทยอยสะสมที่แนวรับ 1,445 ดอลลาร์ต่อออนซ์
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทยเปิดเผยว่า เปิดเผยว่าในสัปดาห์นี้ราคาทองคำถือว่ามีความผันผวน โดยราคาได้ปรับลดลงที่ระดับต่ำสุดที่ 1,451.08 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดครั้งใหม่ของปี 2563 สาเหตุของการปรับลดลงของราคาทองคำนั้นสร้างความประหลาดใจให้กับหลายฝ่าย เนื่องจากปกติหากตลาดหุ้นปรับลดลง จะมีแรงซื้อเข้ามาในทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยส่งผลให้ราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามครั้งนี้แตกต่างออกไป เพราะตลาดหุ้นลงแรงจนเข้าสู่ภาวะขาลงอย่างเป็นทางการ ทำให้นักลงทุนเผชิญกับการถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม นักลงทุนจึงจำเป็นต้องเทขายทองคำออกมา เพื่อนำเงินไปเติมหลักประกัน รวมถึงชดเชยผลขาดทุนในตลาดหุ้นรวมถึงสินทรัพย์อื่นๆทั่วโลก ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ที่มีสถาบันการเงินของสหรัฐประกาศปิดตัวในช่วงเดือยก.ย.ปี 2551 ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงอย่างหนัก และทองคำก็ปรับตัวลดลงแรงเช่นกัน อย่างไรก็ดี หลังจากที่เฟดได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยและใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) ก็ส่งผลให้ราคาทองทะยานขึ้นอย่างมากจนกระทั่งขึ้นไปทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2554 ส่วนทางด้านตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอีกหลายเดือนก่อนที่จะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมา หากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย คาดว่าความต้องการถือเงินสดในหมู่นักลงทุนอาจกดดันให้เกิดแรงขายในตลาดทองคําไปอีกสักระยะ เมื่อความตื่นตระหนกในตลาดบรรเทาเบาบางลง นักลงทุนจะกลับมาพิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานต่างๆและกลับเข้ามาซื้อทองคำในที่สุด
ทั้งนี้ หากพิจารณาในด้านปัจจัยพื้นฐาน จะพบว่าปัจจัยสนับสนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นยังอยู่ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยด้านเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว อันเนื่องมาจากการระบาดของไวรัส Covid-19 จนทำให้เกิดการวิตกว่าอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 กระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั่วโลก จึงเป็นแรงผลักดันให้ธนาคารกลางทั่วโลกโดยเฉพาะธนาคารกลาสหรัฐ(เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยและผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม เพื่อรับมือผลกระทบจาก Covid-19 ซึ่งจะสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับทอง ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย นอกจากนี้ งานวิจัยของสภาทองคำโลก ระบุว่า ผลตอบแทนจากทองคำ ในช่วงดอกเบี้ยติดลบ จะสูงกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาวของราคาทองคำถึง 2 เท่า รวมถึงปัจจัยความไม่สงบทางการเมืองทั่วโลกก็ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทอง
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย มองว่าในระยะสั้น ควรหาจังหวะขายทำกำไรออกไปก่อนเพราะราคายังมีโอกาสผันผวนต่อเนื่อง แล้วค่อยกลับเข้าซื้ออีกครั้งเมื่อตลาดกลับสู่ภาวะปกติ ส่วนนักลงทุนระยะสั้นและกลางที่รับความเสี่ยงได้สูง ควรหาจังหวะซื้อที่แนวรับ 1,451-1,445 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากหลุด 1,445 ดอลลาร์ต่อออนซ์) เพื่อขายกำไรบริเวณแนวต้าน 1,558-1,593 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สำหรับนักลงทุนระยะยาว แนะนำทยอยเข้าซื้อที่แนวรับ 1,445 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และควรเผื่อเงินลงทุนไว้สำหรับการทยอยสะสมเพิ่มหากราคาปรับตัวลงไปบริเวณ 1,400-1,381 ดอลลาร์ต่อออนซ์
นักลงทุนสามารถปรึกษาด้านการลงทุนทองคำกับ YLG ได้ทางโทรศัพท์ 02-687-9888 รวมถึงสามารถติดตามบทวิเคราะห์ อัพเดทข่าวสารที่ส่งผลต่อราคาทองคำ ข่าวโปรโมชั่น สัมมนา และข่าวประชาสัมพันธ์ของ YLG ผ่านทางหลากหลายช่องทาง อาทิ www.ylgbullion.co.th และ https://www.facebook.com/YLGGroup
www.mitihoon.com