บลจ.ทิสโก้เอาใจสายออม เปิดSSFลงทุนเชิงรุกในหุ้นพื้นฐานดี มีแนวโน้มเติบโตเด่น

66

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า บลจ.ทิสโก้ ได้นำเสนอกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) กองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นทุน เพื่อการออม (TEGSSF) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดี มีแนวโน้มเติบโตสูง มีความมั่นคง และใช้นโยบายการลงทุนเชิงรุก โดยผู้ลงทุนสามารถนำมูลค่าซื้อหน่วยลงทุนไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมินและไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ประกันบำนาญและกองทุนเกษียณอื่นๆ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) 1 – 15 เมษายน 2563 มูลค่าขั้นต่ำในการจองซื้อ 1,000 บาท

นอกจากนี้ เพื่อให้ผู้ลงทุนไม่พลาดโอกาสที่ดี จากการที่ภาครัฐฯ เพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยอนุมัติให้นำมูลค่าซื้อหน่วยลงทุน SSF ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 30 มิถุนายน 2563 ไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมอีก 200,000 บาท โดยเป็นวงเงินที่แยกจากวงเงินหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนใน SSF กรณีปกติ และไม่อยู่ภายใต้เพดานวงเงินหักลดหย่อนภาษีที่รวมในกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ วงเงินสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท

บลจ.ทิสโก้ จึงได้เพิ่มหน่วยลงทุน “ชนิดเพื่อการออมพิเศษ” ในกองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นทุน เพื่อการออม เปิดให้ลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย. 63 ทั้งนี้ ผู้ลงทุนต้องถือหน่วยลงทุน SSF ไม่น้อยกว่า 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ หากผิดเงื่อนไขการลงทุน ผู้ลงทุนจะหมดสิทธิ์ได้รับยกเว้นสิทธิประโยชน์ทางภาษี และต้องเสียภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่รับยกเว้นมาแล้วพร้อมเบี้ยปรับเงินเพิ่ม ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุนรวมดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน

อย่างไรก็ตาม บลจ.ทิสโก้คาดว่าความไม่แน่นอนต่างๆ จะเริ่มคลี่คลาย และมีความชัดเจนขึ้นอย่างเป็นลำดับ เริ่มจากสถานการณ์ไวรัส COVID-19 ที่ในหลายประเทศสำคัญได้ประกาศมาตรการและแนวทางควบคุมผลที่เกิดขึ้นให้อยู่ในวงจำกัด พร้อมมาตรการเยียวยาช่วยเหลือในด้านต่างๆ ผ่านนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เพื่อประคองสถานการณ์ไปพร้อมๆ กับการเตรียมความพร้อมด้านการรักษา และสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง เหมือนที่สามารถทำได้สำเร็จในประเทศจีนและเกาหลีใต้ ทั้งนี้ คาดว่าความชัดเจนจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 พร้อมๆ กับการผ่านพ้นฤดูกาลแพร่ระบาด

ในส่วนของภาวะความผันผวนของราคาน้ำมัน คาดว่าจะลดลงหลังจากความตกใจต่อการยกเลิกแผนการลดการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่ม OPEC รวมทั้งการกลับเข้าสู่ภาวะอุปสงค์อุปทานที่แท้จริง ทั้งนี้ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอาจจำเป็นต้องใช้เวลาในระดับหนึ่ง ซึ่งต้องติดตามเป็นเป็นระยะๆ

 

www.mitihoon.com