จับตาเช่าซื้อ คิดดอกเกิน เย้ยกฎหมาย???

700

นับว่าประเด็นการเรียกเก็บค่าบริการต่างๆ โดยเฉพาะค่าปรับ รวมไปถึงดอกเบี้ย จากบรรดาผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อ มักถูกพูดถึงกันไปในเชิงร้ายมากกว่าเชิงบวก โดยเฉพาะจากลูกหนี้ ที่เชื่อว่าถูกเอาเปรียบจากการเรียกเก็บค่างวดที่ไม่เป็นธรรม เพราะถูกบวกค่าปรับกรณีชำระเงินไม่ตรงตามกำหนด แถมโขกค่าติดตามทวงถามแบบมหาโหด

ขณะที่ทางฝั่งผู้ให้บริการสินเชื่อติดล้อประเภทต่างๆ มักยืนยันหนักแน่นว่าปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ ทั้งเรื่องการคิดดอกเบี้ย การคิดค่าติดตามทวงถาม ค่าปรับชำระล่าช้า และอื่นๆ

ดีเอสไอลุยค้นบริษัทสินเชื่อรายใหญ่  

ล่าสุด เกิดกรณีร้อนฉ่าขึ้นอีกครา เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2563 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ปูพรมเข้าค้น 3 สถานที่ของบริษัทผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรายใหญ่ “บมจ.เมืองไทยแคปปิตอล หรือ MTC” ประกอบด้วย บมจ. เมืองไทยแคปปิตอล สำนักงานใหญ่ ถนนจรัญสนิทวงศ์ เขตบางพลัด กทม., ศูนย์ประมูลรถ บมจ.เมืองไทยแคปปิตอล ตำบลบ้านสิงห์ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี และศูนย์ประมูลรถ บมจ. เมืองไทยแคปปิตอล อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี

ทั้งนี้จากรายงานข่าวระบุผลการตรวจค้น พบสิ่งของที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีอาญา ในความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 เช่น ข้อมูลสัญญาการกู้ยืมเงินของลูกหนี้บริษัทดังกล่าว เอกสารเกี่ยวกับการประมูลรถยนต์จักรยานยนต์ และเอกสารประกอบอื่นๆ จำนวนมาก ทั้งนี้หากเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินการรับเป็นคดีพิเศษต่อไป

บิ๊กMTCยันไม่เคยคิดดอกเบี้ยเกิน

ทันทีที่มีประเด็นเกิดขึ้น หัวเรือใหญ่ของเมืองไทยแคปปิตอล “นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร” ได้ออกมาแจงว่า กรณีที่มีเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอเข้ามาตรวจสอบนั้น เป็นเพียงการเข้ามาขอความร่วมมือเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการคำนวณดอกเบี้ย หลักเกณฑ์ในการยึดทรัพย์ และการนำทรัพย์ที่ยึดไปขายทอดตลาด ตามข้อร้องเรียนของลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันไปฟ้องดีเอสไอ ที่เคยร้องเรียนบริษัทมาแล้ว

“ดีเอสไอเข้ามาสอบถามข้อมูล เรื่องการคิดดอกเบี้ย ว่าทำไมบริษัทถึงคิดดอกเบี้ยรถจักรยานยนต์ร้อยละ 20 ซึ่งเราได้แจ้งไปว่าการดำเนินการดังกล่าวอยู่ภายใต้การกำกับของแบงก์ชาติที่อนุญาตให้คิดดอกเบี้ยได้ถึงร้อยละ 28 ซึ่งในความเป็นจริงเราก็คิดต่ำกว่าเกณฑ์มาก

ส่วนเรื่องของการยึดทรัพย์และนำไปขายทอดตลาด ก็ดำเนินการตามขั้นตอนอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ จนกระทั่งท้ายที่สุดเมื่อลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ก็จำเป็นต้องยึดทรัพย์และนำมาขายทอดตลาด ซึ่งถือเป็นการทำงานตามขั้นตอนปกติ” นายชูชาติกล่าว

ย้อนรอยลูกหนี้แห่ฟ้อง

ก่อนหน้านี้ในช่วงปี2561 กลุ่มพิทักษ์สิทธิลูกหนี้ นำประชาชนผู้เสียหายยื่นฟ้องเอาผิด บมจ.เมืองไทยแคปปิตอล เรียกดอกเบี้ยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งทางผู้เสียหายยื่นฟ้องแบบกลุ่ม เพื่อเรียกคืนดอกเบี้ยที่เก็บเกินพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับจากวันที่คิดดอกเบี้ยเกิน โดยประเมินว่ายอดเงินที่จะเรียกคืนสามารถเรียกย้อนหลังไปได้ 5 ปี รวมแล้วเป็นยอดเงินสูงถึงระดับหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว

          อย่างไรก็ดี ณ ปัจจุบัน สถานะการฟ้องร้องได้สิ้นสุดลง และ MTC ไม่ได้ผิดด้วยกฎหมาย

www.mitihoon.com