สัปดาห์นี้ปัจจัยกดดันตลาดนอกเหนือจากตัวเลข COVID-19 ที่มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกแตะ 2 ล้านคนแล้ว จะตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญคือ ตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานรายใหม่ของสหรัฐฯที่จะรายงานในวันที่16เม.ย.คาดว่าจะเพิ่มขึ้น สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แย่ลงทั้งในด้านภาคการผลิตและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้ผลตอบแทนของสินทรัพย์ปลอดภัยปรับตัวขึ้นและกดดันให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงลดลง
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน (OPEC+) กับกลุ่มประเทศ G-20 ผลสรุปคือ OPEC+ ลดกำลังการผลิต 9.7ล้านบาร์เรลและ G-20 ลด 5ล้านบาร์เรล ขณะที่ Saudi Aramco มีการปรับลดราคาขายน้ำมันในเดือน พ.ค. แต่โดยรวมก็ไม่ได้เป็นผลบวกต่อตลาดและหุ้นกลุ่มน้ำมันมากนัก เนื่องจากการน้ำมันทั่วโลกในการเดินทางและขนส่งนั้นต่ำมากอยู่แล้ว ซึ่งหุ้นน้ำมันในไทยก็คงไม่ได้ปรับตัวขึ้นมากนัก แต่ที่ต้องติดคือหุ้นกลุ่มธนาคารของไทย หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาตรการให้ช่วยเหลือลูกหนี้ทำให้กลุ่มธนาคารมีรายได้หายไป ความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มธนาคารจึงลดลงจนกว่าสถานการณ์ของ COVID-19 จะดีขึ้นและเศรษฐกิจเริ่มกลับมา
โดยรวมของตลาดสัปดาห์นี้ยังมองว่าแกว่งตัวในแดนบวกได้ การปรับตัวขึ้นอาจเป็นจังหวะทำกำไรได้ กลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ KTBST SEC ให้น้ำหนักกับหุ้นที่จะเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างประเทศ ในกลุ่ม ESG (Environmental, Social and Governance)เช่น AOTและ ADVANC
ส่วนสินทรัพย์ต่างประเทศในเวลานี้ KTBST SEC เริ่มมองตลาดหุ้นจีนในระยะต่อจากนี้ไปหลังจากเศรษฐกิจและธุรกิจต่างๆเริ่มกลับมาดำเนินการได้ต่อเนื่อง และยังแนะนำการลงทุนในทองคำ ซึ่งมองแนวต้านบริเวณ 1,700 – 1,726 เหรียญฯเป็นจุดพิจารณาทำกำไรได้ นอกจากนี้ ยังแนะนำสินทรัพย์อย่างตราสารหนี้ที่มีเรทติ้งในระดับน่าลงทุน (investment grade) หลังจากรัฐบาลทั่วโลกอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมาก
นับจากสัปดาห์นี้ไปตลาดจะเริ่มจับตามองว่ารัฐบาลไทยจะมีการผ่อนคลายมาตรการหลังวันที่ 30 เม.ย. หรือไม่ ซึ่งจะเป็นประเด็นสำคัญต่อตลาดและเศรษฐกิจในประเทศอย่างมากหากธุรกิจต่างๆเริ่มกลับมาดำเนินได้ ติดตามข่าวสารการลงทุนได้จาก ”มุมความรู้” https://www.ktbst.co.th/th/knowledge.php
โดยชาตรี โรจนอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์
บล. เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KTBST SEC)
www.mitihoon.com