สถานการณ์สัปดาห์นี้มีประเด็นที่ทำให้ตลาดเกิดแรงกดดันอีกครั้ง นั่นคือ ตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่กลับมาระบาดรอบ 2 ในหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯ จีน บราซิล หลังจากมีการเปิดเมือง ซึ่งทำให้ตัวเลขรวมผู้ติดเชื้อทั่วโลกกำลังแตะ 10 ล้านคน และมีผลกดดันต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยงในสัปดาห์นี้
โดยประเด็นเรื่องการติดเชื้อในสหรัฐฯ เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพราะอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญต่อตลาดในช่วง 1 เดือนข้างหน้า รวมไปถึงการรายงานผลประกอบไตรมาสที่ 2 ที่ต้องจับตาดูว่าจะทำให้ตลาดมีความเสี่ยงในทิศทางขาลงอีกหรือไม่ เนื่องจากระดับราคาหุ้นทั่วโลกในเวลานี้เริ่มมองว่าค่อนข้างแพง
ดังนั้นการลงทุนในสัปดาห์นี้ KTBST ยังแนะนำให้นักลงทุนรอดูสถานการณ์ (Wait & see) โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ อย่าง ตัวเลขการบริโภคและการจ้างงานในสหรัฐฯหากตัวเลขออกมาดีกว่าที่คาด อาจเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ผ่านจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2 ตามที่ทาง KTBST SEC ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ โดยหุ้นกลุ่มที่ KTBST SEC มองว่ายังน่าสนใจและระดับราคายังปรับตัวขึ้นช้า คือกลุ่มที่ปรับตัวตามวัฏจักรภาวะเศรษฐกิจ (Global cyclical equity) และยังแนะนำให้ทยอยสะสมสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำไว้อยู่
ส่วนภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทยตอนนี้ ดูเหมือนตลาดจะถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่กังวลว่ากำไรช่วงครึ่งปีหลัง อาจขาดทุนและจ่ายเงินปันผลลดลงจากปีก่อน นอกจากนี้ หากการประชุมคณะกรรมนโยบายทางการเงินในสัปดาห์นี้มีการลดดอกเบี้ยลงอีกจากปัจจุบันอาจจะผลลบต่อหุ้นกลุ่มธนาคารอีกด้วย ทำให้นักลงทุนมีการชะลอการลงทุนไปบ้างในช่วงนี้ อย่างไรก็ตามด้วยนโยบายภาครัฐที่พยายามกระตุ้นกลุ่มธุรกิจต่างๆซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
ดังนั้นหุ้นไทยสัปดาห์นี้ประเมินดัชนีเคลื่อนไหวทรงตัวในกรอบ 1,300-1,400 จุด การลงทุนสัปดาห์นี้ จึงเน้นการตั้งรับและเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีแนวโน้มกำไรเติบโต ซึ่งอาจเห็นนักลงทุนปรับพอร์ตไปถือหุ้นที่จ่ายปันผลดีกลุ่มอื่น เช่น INTUCH, PTT รวมถึงหุ้นอิงรายได้จากการส่งออกเช่น KCE, DELTA, CPF ติดตามข่าวสารการลงทุนได้จาก ”มุมความรู้” https://www.ktbst.co.th/th/knowledge.php
โดยชาตรี โรจนอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์
บล. เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KTBST SEC)
www.mitihoon.com