‘บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน)’ หรือ NRF ผู้ผลิตและส่งออกอาหารและเครื่องปรุงรสชั้นนำ ชูเทรนด์ Food for the Future พร้อมนำจุดแข็งต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์อาหารแห่งอนาคตตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ผ่านกลยุทธ์เข้าลงทุนกับพันธมิตรธุรกิจในไทยและต่างประเทศด้วยนวัตกรรมอาหารเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศอุตสาหกรรมอาหารทั้งระบบ เจาะกลุ่มลูกค้า Millennial ทั่วโลก ผลักดัน NRF ก้าวเป็นผู้ผลิตอาหารระดับชั้นนำของโลก
นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ผู้ผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร อาหารมังสวิรัติที่ไม่มีส่วนผสมของไข่และนม อาหารโปรตีนจากพืช และเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ รวมถึงผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม (V-shape) เปิดเผยว่า เทรนด์การบริโภคอาหารแห่งอนาคตถือเป็นเมกะเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก โดยใช้กระบวนการผลิตจากนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญต่ออาหารสุขภาพ รวมทั้งยังคำนึงถึงแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์อาหารสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ในการเจาะตลาดอาหารในกลุ่ม Specialty Food ซึ่งกำลังเป็นกระแสนิยมไปทั่วโลกและมีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูงในช่วงที่ผ่านมา ด้วยลักษณะอาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพตั้งแต่กระบวนการคัดสรรวัตถุดิบอย่างดี ให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก โดยผลิตภัณฑ์อาหาร Specialty Food ที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญเป็นพิเศษมี 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มอาหาร Ethnic Food หรือเทรนด์การหันมานิยมบริโภคอาหารต่างชาติโดยดัดแปลงผสมผสานกับอาหารท้องถิ่น จากแนวโน้มการรักษาสุขภาพ การทดลองอาหารที่มีรสชาติจัดจ้านมากขึ้นของกลุ่มคนรุ่นใหม่ รวมถึงการย้ายถิ่นฐานที่มากขึ้นทั่วโลก ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตแบบถัวเฉลี่ยเกินกว่าร้อยละ 10 ไปจนไปในหลายปีข้างหน้า 2. กลุ่มอาหาร Plant-Based Food หรือ อาหารโปรตีนจากพืช ผลิตจากพืชตระกูลถั่ว เห็ด และสาหร่าย ทดแทนเนื้อสัตว์ ซึ่งได้รับความนิยมในการบริโภคเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกระแสผู้บริโภคที่ใส่ใจการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพื่อดูแลสุขภาพและให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีโรคระบาดในปัจจุบัน ผู้บริโภคหันมาบริโภคอาหารโปรตีนจากพืชมากขึ้น โดยยังคงได้รับรสชาติและผิวสัมผัสเหมือนเนื้อแต่ได้รับสารอาหารจากพืช ทำให้มีผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืชหลากหลายรูปแบบถูกพัฒนาและนำออกมาจำหน่ายในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดและเป็นอนาคตของธุรกิจอาหาร
และ 3. ผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม (V-shape) นอกจากผลิตภัณฑ์ด้านอาหารที่หลากหลายและมีคุณภาพระดับสากลแล้ว บริษัทฯยังมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภค (Functional product) V-shape ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ให้ความสะดวกสบายเหมาะกับผู้บริโภคทุกวัย รวมถึงผู้ป่วยและผู้พิการ กับผู้ให้บริการด้านเครื่องจักรและนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ V-shape สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสำอาง ยา เวชภัณฑ์ และเคมีภัณฑ์ ในตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ สิ่งที่ท้าทายของผู้ประกอบการคือจะต้องปรับตัวรับกระแสการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมุ่งเน้นกระบวนการผลิตเพื่อสร้างความยั่งยืนและให้ความสำคัญกับการจัดการ Sustainable Supply Chain ตั้งแต่กระบวนการจัดซื้อ การผลิต จัดเก็บ ขนส่งและจัดจำหน่าย ตลอดจนให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียในทุกฝ่ายตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ประกอบกับที่ผ่านมา สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ถือเป็นปัจจัยที่เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารอย่างรวดเร็ว โดยผู้บริโภคต้องการอาหารที่เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายในรูปแบบต่างๆ ซึ่งต้องเป็นอาหารที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ มีสารอาหารครบ ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว ช่วยให้สุขภาพดีเพื่อต้านทานโรค จึงถือเป็นโอกาสของธุรกิจในการผลิตสินค้ารองรับความต้องการอาหารเพื่อสุขภาพอีกทางหนึ่ง
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NRF กล่าวว่า บริษัทฯ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจผลิตอาหารมาเป็นระยะเวลาเกือบ 30 ปี และเห็นโอกาสเติบโตของกลุ่มอาหารแห่งอนาคต ที่เน้นกระบวนการคัดสรรคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างดีเยี่ยม จึงกำหนดแผนยุทธศาสตร์ให้บรรลุเป้าหมาย รองรับเทรนด์และเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคยุค Millennial (Gen Me) ที่เป็นการรวมตัวจากหลากหลายกลุ่มอายุ มีเอกลักษณ์ความเป็นตัวตนสูงและมีกำลังซื้อมหาศาล
ทั้งนี้ NRF ได้เข้าร่วมลงทุนกับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อสร้างการเติบโตและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม โดยร่วมลงทุนกับ THE BRECKS COMPANY LIMITED หรือ ‘เบรคส์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำของอุตสาหกรรมผลิตอาหารโปรตีนจากพืชในทวีปยุโรปที่มีประสบการณ์และความชำนาญมานานกว่า 27 ปี โดยเบรคส์มีฐานการผลิตในประเทศอังกฤษ รับจ้างผลิตสินค้าโปรตีนจากพืชให้กับตราสินค้าต่าง ๆ เช่น Quorn The Vegetarian Butcher และ Cauldron Foods และมีแผนลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อขยายสู่ตลาดผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืชในอเมริกาและยุโรป ทำให้ NRF เป็นบริษัทที่มีรูปแบบพร้อมรองรับผลิตภัณฑ์อาหารแห่งอนาคต
นอกจากนี้ ได้เข้าลงทุนใน The Meatless Farm Limited หรือ Meatless Farm ในประเทศอังกฤษ เพื่อเป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าในทวีปยุโรป อเมริกาและเอเชีย โดยผลิตอาหารจำพวกแฮมเบอร์เกอร์เนื้อเทียม โปรตีนจากข้าวและถั่ว รวมถึงหัวไชเท้า ที่สามารถให้รสชาติและรสสัมผัสเหมือนกับเป็นผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์จริง อีกทั้งเข้าลงทุนใน Big Idea Venture LLC หรือ Big Idea Venture และ New Protien Fund I ซึ่งเน้นลงทุนและสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพเกี่ยวกับอาหารโปรตีนจากพืช เพื่อเข้าถึงและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก นำประสบการณ์มาต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมถึงมีโอกาสได้ลูกค้าหรือพันธมิตรรายใหม่จาก Plant-based Startup-ecosystem โดยมีเป้าหมายลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ 100 บริษัท ภายในระยะเวลา 2-3 ปี ซึ่งบริษัทฯ ได้รับสิทธิเป็น Preferred Co-Packer ให้กับสตาร์ทอัพต่าง ๆ ของกองทุน
ล่าสุด บริษัทฯ เข้าลงทุนใน Phuture Limited (“Phuture”) หนึ่งในสตาร์ทอัพด้าน Food Tech ในทวีปเอเชียที่ได้รับความสนใจจากบริษัทลงทุนระดับโลก มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์หมูสับเทียมที่ผลิตจากโปรตีนจากถั่วเหลืองเป็นหลัก โดย NRF ลงทุนเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจและโอกาสในการเป็นผู้ผลิตสินค้าให้กับ Phuture หลังผลิตภัณฑ์พร้อมออกวางจำหน่าย นอกจากนี้ ได้เข้าลงทุนในบริษัท ซิตี้ฟู้ด จำกัด ในจังหวัดนครปฐมและราชบุรี ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารพร้อมปรุงและอาหารสำเร็จรูปรวมถึงผลิตและจำหน่ายน้ำเต้าหู้สำเร็จรูปตรา Shinpo เพื่อเป็นฐานการผลิต ซึ่งจะผลักดัน NRF ก้าวเป็นผู้ผลิตอาหารชั้นนำของโลก
ปัจจุบัน NRF เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมผลิตและส่งออกอาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงรสชั้นนำ และอาหารโปรตีนจากพืชโดยมีผลิตภัณฑ์มากกว่า 500 สูตรอาหาร และกว่า 2,000 SKU แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ
1.) ผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ จำนวน 6 แบรนด์ ได้แก่ แบรนด์พ่อขวัญ แบรนด์ Lee Brand แบรนด์ Thai Delight แบรนด์ Shanggie แบรนด์ DeDe และ แบรนด์ Sabzu
2.) กลุ่มผลิตภัณฑ์รับจ้างผลิต (OEM และ Private Brand)
3.) กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช (Plant-Based Food)
และ 4.) กลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม (V-shape) เช่น เจลแอลกอฮอล์ล้างมือในบรรจุภัณฑ์ V-shape นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์ V-Shapes มากยิ่งขึ้น เช่น ซอสปรุงรส เครื่องปรุง เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น ในหลายรูปแบบ อาทิ การผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ การร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นต้น
โดยมีจุดแข็งด้านวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มความหลากหลายสินค้า รวมถึงมุ่งสร้างตราสินค้าและสร้างชื่อเสียงของบริษัทฯ เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ผ่านการออกงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มทั้งในและต่างประเทศ พร้อมขยายตลาดส่งออกใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
“เราได้นำประสบการณ์ทำธุรกิจระยะเวลาเกือบ 30 ปี ในการส่งออกสินค้าสู่ 25 ประเทศทั่วโลกอาทิเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น จีนและมาเลเซีย เป็นต้น โดยซึ่งลูกค้าปลายทางของบริษัทฯประกอบไปด้วยบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ทั่วโลกที่มีความสัมพันธ์กับบริษัทฯ มายาวนานมากกว่า 10 ปี บริษัทฯ นำประสบการณ์ที่ได้รับมาต่อยอดการผลิตอาหารเพื่ออนาคต รองรับเมกะเทรนด์อาหารของโลกที่เกิดขึ้น และผลักดัน NRF สู่ The Purpose-Led Company หรือ บริษัทที่ขับเคลื่อนองค์กรและแบรนด์ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน โดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเพื่อให้บริษัทฯ เป็นตัวเลือกรายแรกๆ ในการผลิตสินค้าแก่บริษัทอาหาร (สำเร็จรูป) ชั้นนำระดับโลก” นายแดน กล่าว
www.mitihoon.com