นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจทั่วโลก จากการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาด ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก
สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้ในไตรมาส 2 ปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 1,333 ล้านบาท ลดลง 25.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2562 จากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจและปัญหาการชำระหนี้ของลูกหนี้ โดยรายได้รวมหดตัว 6.2% โดยมีสาเหตุมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่อ่อนตัวลง โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ จากการชะลอตัวของรายได้ธุรกิจนายหน้าประกันภัย และค่าธรรมเนียมจากเงินให้สินเชื่อ ซึ่งเป็นไปตามปริมาณการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ลดลงจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หดตัว
ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวดีขึ้น จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลงในภาวะดอกเบี้ยขาลง สำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต (Expected Credit Loss – ECL) ยังคงอยู่ในระดับสูง เป็นไปตามระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การตั้งสำรองมีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากการตั้งสำรองไปแล้วล่วงหน้าในไตรมาสก่อนหน้า
ส่วนผลการดำเนินงานงวดครึ่งปี 2563 กำไรสุทธิมีจำนวน 2,819 ล้านบาท ลดลง 20.1% เมื่อเทียบกับครึ่งปี 2562 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวดีขึ้นจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อย่างไรก็ดี รายได้ค่าธรรมเนียมของธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนปรับตัวดีขึ้น ทั้งจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น และการออกกองทุนที่เพิ่มขึ้นในสภาวะที่ตลาดทุนผันผวน ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 14.9%
สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 มีจำนวน 228,165 ล้านบาท ลดลง 4.1% จากไตรมาสก่อนหน้า จากการชะลอตัวของสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อ SME ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ประกอบกับการใช้นโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังและเข้มงวดมากขึ้นในภาวะความเสี่ยงที่สูงขึ้น ในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.28% ทั้งนี้ บริษัทมีระดับเงินสำรองหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) อยู่ที่ 155%
ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งมาโดยตลอดทั้งปี โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 21.9% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 17.6% และ 4.3% ตามลำดับ