ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ผลิตไฟฟ้า หรือ EGCO โดยนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 63 คาดฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนผลประการดำเนินงานทั้งปีคาดกำไรจากการดำเนินงานเติบโตใกล้เคียงปีก่อนที่ระดับ 1 หมื่นล้านบาท จากบริษัทมีโครงการโรงไฟฟ้าที่คาดจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) เข้ามาช่วยหนุนผลงาน
โดยปัจจุบันบริษัทมี 4 โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง และมีความคืบหน้าตามแผน ได้แก่ โรงไฟฟ้า 3 โครงการ คือ โรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง “กังดง” ในเกาหลีใต้ ถือหุ้น 49% กำลังผลิตติดตั้ง 19.8 MW ก่อสร้างแล้วเสร็จ 98% คาดจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ในไตรมาส 4/63, โรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล “หยุนหลิน” ในไต้หวัน ถือหุ้น 25% กำลังผลิตติดตั้ง 640 MW ก่อสร้าง แล้วเสร็จ 48% คาด COD ในไตรมาส 3/64
และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ “น้ำเทิน 1” ใน สปป.ลาว ถือหุ้น 25% ปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขาย 513 Mw กับ กฟผ. และ 130 MW กับรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว ก่อสร้างแล้วเสร็จ 74% คาด COD ในไตรมาส 2/65 นอกจากนี้ ยังมีโครงการธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง 1 โครงการ ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถือหุ้น 44.6% ก่อสร้างแล้วเสร็จ 43% คาด COD ในไตรมาส 4/64
สำหรับทิศทางการลงทุน บริษัทมุ่งขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจ ทั้งด้านการผลิตและให้บริการด้านพลังงาน ครอบคลุมธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งยังคงเป็นธุรกิจหลัก ทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานหมุนเวียน โดยเปิดกว้างเรื่องพื้นที่การลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
รวมทั้งแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ ธุรกิจเชื้อเพลิงและระบบสาธารณูปโภค โดยได้เริ่มลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านเชื้อเพลิง (Fuel Infrastructure) ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจหลัก เช่น โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น และธุรกิจ Smart Energy Solution ในฐานะผู้ให้บริการด้านนวัตกรรมพลังงานอย่างครบวงจร เช่น การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง ให้เป็น Smart Industrial Estate ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำ EIA โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 63 และการพัฒนาโครงการโซลาร์ ในรูปแบบ Solar Solution Provider ซึ่งอยู่ระหว่าง การเจรจากับลูกค้าอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์ เป็นต้น
ทั้งนี้บริษัทยังมีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งสะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio) อยู่ที่ 1.19 เท่า ในขณะเดียวกัน คณะกรรมการบริษัทมีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 63 ในอัตราหุ้นละ 3 บาท ในวันที่ 17 ก.ย.63
www.mitihoon.com