ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป หรือ MAJOR โดย “บล.หยวนต้า” เปิดเผยว่า แนวโน้มผลงานช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าผลประกอบการจะเริ่มพลิกฟื้น หลังจากรัฐบาลคลาย lockdown ทำให้คนเริ่มกลับมาดูภาพยนตร์อีกครั้ง ประกอบกับมีภาพยนต์เริ่มเข้าฉายมากขึ้น ทั้งภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศ อาทิ Tenet ที่เข้าฉายวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งทำรายได้ 4 วันแรก 18 ล้านบาท คาดการรายได้จะอยู่ที่ราว 50-60 ล้านบาท , Mulan จะเข้าฉายวันที่ 4 ก.ย. และที่รอเข้าฉายหลายเรื่อง ได้แก่ The King’s Man, Wonder Woman 1984 , Black window
ภาพยนตร์ไทย ได้แก่ อีเรียมซิ่ง , My Rhythm และภาพยนตร์ของ GDH เป็นต้น อย่างไรก็ตามด้วยมาตรการเว้นระยะห่าง 2 ที่นั่ง เว้น 1 ที่นั่ง ทำให้คาดรายได้จะอยู่ที่ราว 60-70% ของที่ควรจะเป็น ขณะที่รายได้โฆษณาผ่านโรงภาพยนต์จากการสอบถามไปยังบริษัท พบว่ายังไม่กลับมาเต็มที่ เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ผู้ประกอบการจัดสรรงบน้อยลงจากเดิม
อย่างไรก็ตามในไตรมาส 3/63 ด้านประสิทธิภาพในการทำกำไรดีขึ้น จากรายได้ภาพยนต์ที่ฟื้นตัว และบริษัทมีการควบคุมต้นทุนที่เข้มงวดในไตรมาสก่อน ซึ่งจะส่งผลดีต่อในไตรมาสนี้ โดยคาดว่าไตรมาส 3/63 บริษัทจะขาดทุนลดลงจากไตรมาสก่อน และจะเริ่มกลับมามีกำไรอีกครั้งในไตรมาส 4/63 ภาพรวมปี 2563 คาดว่าบริษัทมีรายได้ลดลง 68% จากปีก่อน เหลือ 3,376 ล้านบาท และมีผลขาดทุน 678 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นปีที่แย่สุดในการดำเนินธุรกิจ
ขณะที่ปี 64 คาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวโดดเด่น โดยคาดรายได้เติบโต 69% เป็น 9,065 ล้านบาท โดยจากธุรกิจภาพยนต์จะฟื้นจากฐานต่ำ และภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่เลื่อนมาจากปี 63 และภาพยนตร์ที่มีแผนจะฉายอยู่แล้ว ทำให้จะมีภาพยนต์เข้าฉายจำนวนมาก อาทิ Fast & Furious 9 , Avatar2 , The Batman , Morbius , The Eternals ,Jurassic World 3 , venom 2 , Sherlock Holmes 3 และ Mission: Impossible 7 เป็นต้น ส่งผลให้รายได้จากธุรกิจภาพยนตร์คาดเพิ่ม 194% จากปีก่อน เป็น 7,150 ล้านบาท ด้านรายได้โฆษณากลับมาสู่ภาวะปกติเติบโต 234% จากปีก่อน เป็น 1,250 ล้านบาท แนะนำ “ซื้อ”เป้าหมาย 21.80 บาท
www.mitihoon.com