ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) โดย นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานทางการเงินในไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 513 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 98.6% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน และไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อน โดยหากไม่นำผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 16 มาคำนวณบริษัทจะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 580 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ส่วนรายได้จากการขายและการบริการอยู่ที่ 25,315 ล้านบาท ลดลง 11.1% จากไตรมาสเดียวกันของปี ที่แล้ว เนื่องจากราคาค้าปลีกน้ำมันหน้าสถานีบริการปรับตัวลดลงเฉลี่ย 19.0% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเติบโตขึ้น 9.1% ทั้งนี้ รายได้จากการขายและการบริการเพิ่มขึ้น 13.7% จากไตรมาสก่อน จากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 2.2% และราคาขายปลีกน้ำมันที่ปรับเพิ่ม 10.6% จากไตรมาสที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้ราคาน้ำมันโลกค่อนข้างมีเสถียรภาพ และการปรับราคาน้ำมันหน้าสถานีบริการค่อนข้างสอดคล้องกับต้นทุน ทำให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่งผลให้พีทีจีมีกำไรขั้นต้นรวมอยู่ที่ 2,720 ล้านบาท เพิ่มขึ้น16.6% จากไตรมาสเดียวกันของปีนี้ แต่ลดลง 0.9% จากไตรมาสก่อน โดยสัดส่วนกำไรจากธุรกิจน้ำมันและธุรกิจ Non-Oil คิดเป็น 88.1% และ 11.9% ตามลำดับ โดยสามารถแบ่งกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil เป็นธุรกิจแก๊สแอลพีจี 4.7% ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 2.6% และธุรกิจร้านสะดวกซื้อ Max Mart และธุรกิจอื่นๆ 4.6%
ทั้งนี้ พีทีจีมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 1,895 ล้านบาท ลดลง 4.9% จากไตรมาสเดียวกันของปี ที่แล้ว เนื่องจากการปรับปรุงการรายงานทางการเงินตามมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 16 ซึ่งบริษัทต้องรับรู้ค่าเสื่อมราคาจากสิทธิในการใช้สินทรัพย์และดอกเบี้ยจ่ายจากหนี้สินตามสัญญาเช่า แทนการบันทึกค่าเช่าแบบเดิม โดยหากไม่นำมาตรฐานฉบับใหม่นี้เข้ามาคำนวณ บริษัทจะมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเท่ากับ 2,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% จากการขยายจำนวนสถานีบริการน้ำมันและแก๊สแอลพีจี และจำนวนสาขาธุรกิจ Non-Oil โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 0.9% จากไตรมาสก่อน จากการขยายสาขาการให้บริการตามที่ได้กล่าวมาในข้างต้น แต่มีแนวโน้มเติบโตลดลงตามนโยบายควบคุมค่าใช้จ่ายและเข้มงวดในการลงทุน ส่งผลให้พีทีจีมี EBITDA อยู่ที่ 1,654 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันของพีทีจีเติบโตอยู่ที่ 6.2% จากช่วงเดียวกันของปี ที่แล้ว แม้ว่า ปริมาณการใช้น้ำมันภาพรวมของประเทศปรับตัวลดลง 1.9% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากผลกระทบของการระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3 ปริมาณการใช้น้ำมันภาพรวมของประเทศเริ่มกลับมา เติบโต
อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นไตรมาส 4 ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากพายุฝนที่ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ซึ่งใน ปีนี้พายุมาช้ากว่าปกติ จึงอาจส่งผลให้ปริมาณการใช้น้ำมันในกิจกรรมเชิงพาณิชย์ การขนส่ง และการเกษตร ในไตรมาส 4 เติบโตได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม พีทีจียังคงคาดว่าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันของพีทีจีในไตรมาส 4 จะเติบโตอยู่ที่ 8 – 12% จากปีที่แล้ว และ คาดว่าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันทั้งปี จะเติบโตอยู่ที่ 6 – 10% จากปีที่แล้ว ตามการคาดการณ์เดิม ทั้งนี้ พีทีจียังคงเป้าการ ขยายสาขาของสถานีบริการน้ำมันและแก๊สแอลพีจีที่ 50 – 100 สาขา การขยายสาขาธุรกิจ Non-Oil 100 สาขา โดยปรับ งบประมาณการลงทุนลงอยู่ที่ 2,500 – 3,000 ล้านบาท จากเดิม 3,000 – 3,500 ล้านบาท เนื่องจากนโยบายเข้มงวดในการ ลงทุน
นอกจากนี้ ยังมีส่วนแบ่งกำไรจาก โครงการ Palm Complex ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 40% ที่คาดว่าจะได้รับในปี นี้ประมาณ 240 – 260 ล้านบาท บริษัทจึงปรับเป้าหมายการเติบโตของ EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 10-15 % จากเดิม 6-10 %
www.mitihoon.com