สัปดาห์นี้ทิศทางตลาดได้บรรยากาศเชิงบวกต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวบวกยืนเหนือระดับ 1,350 จุดได้ โดยปัจจัยบวกหลักคือการได้ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ คือ นาย โจ ไบเดน และความคืบหน้าการพัฒนาได้วัคซีน COVID-19 ล่าสุด บริษัท Moderna ได้รายงานผลทดลองวัคซีน ที่มีความสำเร็จถึง 94.5% เป็นอีกบริษัทที่พัฒนาวัคซีน หลังจากบริษัท Pfizer ได้รายงานก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ดัชนีดาวน์โจนส์เมื่อคืนวันจันทร์ (16 พ.ย.) ที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้น 470.63 จุด หรือ +1.6% นำโดยหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น บริษัท โบว์อิ้ง , บริษัท เดลต้าแอร์ไลน์ รวมถึง บริษัทโมเดอร์นา ปรับขึ้นแรง ส่วน บริษัทที่ขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตและการทำงานที่บ้าน (Stay at home) อย่าง บริษัท เพโลตั้น อินเทอร์แอคทีฟ อิงค์ , บริษัทซูม วิดีโอ คอมมิวนิเคชั่น และ เน็ตฟลิกซ์ ปรับตัวลง
ประเด็นสำคัญที่ตลาดเริ่มให้ความสนใจจากนี้ คือ บุคคลที่จะเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ของสหรัฐฯ โดยนาย ไบเดน อาจทาบทามนางเจเน็ท เยลเลน อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เข้ามาดำรงตำแหน่ง ซึ่งเจเน็ท เยลเล็น เป็นบุคคลหนึ่งที่ให้ความสำคัญด้านความสมดุลของนโยบายการคลังและมองว่าการลดภาษีของทรัมป์นั้นไม่ได้ช่วยการเติบโตของเศรษฐกิจมากนัก นอกจากนี้ เจเน็ท เยลเลน ยังสนับสนุนให้ภาครัฐมีการใช้จ่ายเพิ่ม
ขณะเดียวกันมีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ตัวเลขยอดค้าปลีกและตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีน เดือน ต.ค. ออกมาอยู่ที่ +4.3% และ +6.9% ตามลำดับ รวมถึงตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของไทยที่ออกมาติดลบ -6.4% โดยสภาพัฒน์คาดว่าตัวเลข GDP ทั้งปีจะอยู่ที่ -6.0% และคาดว่าในปี 2564 จะโตที่ระดับ 4.0%
ทั้งนี้จากข่าวความคืบหน้าของวัคซีน COVID-19 นั้น การพัฒนาวัคซีนต่อจากนี้มีโอกาสที่สำเร็จสูงมากขึ้น และอาจจะใช้ได้เร็วภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทที่สามารถผลิตวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเกิน 90% ถึง 2 บริษัท
ดังนั้น KTBST SEC ประเมินว่าตลาดหุ้นเอเชียและตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่ปรับตัวในลักษณะเดียวกับตลาดสหรัฐฯ โดยการปรับตัวขึ้นของดัชนีจะไม่มากเหมือนในช่วงสัปดาห์ก่อหน้า ที่บริษัท Pfizer ประกาศประสบความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีน เนื่องจากตลาดได้รับรู้ข่าวดีนี้ไปบางส่วนแล้ว โดยคาดว่า SET Index จะเกิดการเปลี่ยนกลุ่มการลงทุนไปยังกลุ่มท่องเที่ยว (MINT, ERW, CENTEL) , กลุ่มสายการบิน (AAV, AOT) , กลุ่มพลังงานกับปิโตรเคมี (PTTEP, TOP, IVL, PTTGC) , กลุ่มเฮลท์แคร์ (BDMS, BH) และ กลุ่มธนาคาร (BBL, KBANK)
ส่วนประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการลงทุนและต้องติดตาม ได้แก่ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาสู่ระดับ 30.16 บาทต่อดอลลาร์ และต้องติดตามดูว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการดำเนินการอย่างไร เนื่องจากมีผลกระทบต่อผู้ส่งออก และอาจทำให้นักลงทุนต่างประเทศชะลอการซื้อหุ้นและพันธบัตรลง นอกจากนี้ยังมีเรื่องการชุมนุม ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องในการแก้รัฐธรรมนูญ รวมทั้งรายงานกำไรไตรมาส 3 ของบริษัทในตลาด
สำหรับคำแนะนำการลงทุน KTBST SEC ยังแนะนำตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ เช่น กลุ่มพลังงานสะอาด , กลุ่มเทคโนโลยี ,กลุ่มสื่อสาร , กลุ่มสุขภาพและสาธารณสุข จากนโยบายการเพิ่มจุดตรวจ เพิ่มเครื่องป้องกันทางการแพทย์ และการเร่งการตรวจเพื่อหาผู้ติดเชื้อ COVID-19 โดยนโยบายดังกล่าวจะเริ่มใช้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2021 นอกจากนี้ KTBST SEC ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคในประเทศ
โดยคุณชาตรี โรจนอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์
บล. เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST SEC
www.mitihoon.com