คอลัมน์ KTBST Build Your Net Worth
สัปดาห์ทำการสุดท้ายของเดือน พ.ย. บรรยากาศลงทุนยังคงไปในทิศทางบวกต่อเนื่อง สินทรัพย์เสี่ยงได้ปัจจัยบวกปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญ คือเรื่องวัคซีน ซึ่งทางองค์กรอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) เตรียมประกาศรายชื่อวัคซีนที่ผ่านการรับรอง ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนหุ้นในกลุ่มวัฏจักร แม้ว่าตลาดกำลังรอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาใหม่ ขณะที่ตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของสหรัฐฯ ที่จะรายงานในสัปดาห์นี้ คาดว่าจะยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องวัคซีนโควิดยังมีปัจจัยให้ต้องที่ต้องติดตามคือเรื่องการจัดเก็บและการขนส่ง ซึ่งประเมินกันว่าอาจจะยังไม่สามารถทำได้จริงในทางปฏิบัติ เพราะมีปัจจัยด้านอุณหภูมิและต้นทุนค่าขนส่ง ทำให้วัคซีนในล็อตแรกนั้นอาจจะมีราคาสูงเกินไป KTBST SEC เชื่อว่าการผลิตวัคซีนในล็อตแรกนั้นจะใช้กันภายในประเทศของผู้ผลิตวัคซีนก่อนและภาครัฐจำเป็นต้องให้เงินช่วยเหลือประชาชนในการเข้าถึงวัคซีน หากประเทศใดมีปัญหาด้านเพดานหนี้สาธารณะจะส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้ากว่าเดิมอีกราว 1 – 1.5 ปี ขณะเดียวกัน ตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานใหม่ของสหรัฐอเมริกาเอง เริ่มมีสัญญาณเพิ่มขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หากตัวเลขดังกล่าวทะลุระดับ 8 – 8.5 แสนราย จะเริ่มกดดันสินทรัพย์เสี่ยงให้มีการเทขายออกมา
ทั้งนี้ ข่าวใหญ่ที่ตลาดจะให้ความสนใจในสัปดาห์นี้ คือ ประธานาธิบดีทรัมป์ เริ่มทยอยส่งมอบงานให้กับทีมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ เร็วกว่าที่ตลาดคาด จึงคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและแผนจัดการโควิดของสหรัฐฯ จะเริ่มเดินหน้า จึงมีกระแสเงินลงทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน โดยไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ผ่านกองทุน ETF เกือบ 6 พันล้านเหรียญฯในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนีปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว SET Index สามารถขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,400 จุด และประเมินว่าจะไปถึงระดับ 1,436 จุด ก่อนที่จะมีการพักฐานหรือไปต่อตามปัจจัยในตอนนั้น กลยุทธ์แนะนำคือ รอจังหวะทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยง และสลับเข้าเก็งกำไรระยะสั้นในหุ้นที่เคลื่อนไหวตามดัชนีขาขึ้น ส่วนนักลงทุนที่เลือกจะถือหุ้นเป็นระยะเวลา 3 เดือนขึ้นไป KTBST SEC แนะนำสะสมหุ้นดังต่อไปนี้ในจังหวะที่ราคาอ่อนตัวลงมาได้แก่ AOT, CRC, PTTGC, BBL, KBANK, WHA ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนจากการฟื้นตัวของกำไรตลาดและเศรษฐกิจโลก
ส่วนการลงทุนต่างประเทศยังแนะนำเหมือนสัปดาห์ผ่านมา คือ ยังให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในกลุ่มพลังงานสะอาด , กลุ่มเทคโนโลยี ,กลุ่มสื่อสาร , กลุ่มสุขภาพและสาธารณสุข และตลาดหุ้นจีน ที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคในประเทศไทย ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ แนะนำ ลดน้ำหนักการลงทุนตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีอายุสูงกว่า 7 – 10 ปี มาสู่ตราสารหนี้ที่มีอายุ 3 – 5 ปี หลังแนวโน้มเศรษฐกิจมีโอกาสฟื้นตัวมากยิ่งขึ้นในระยะสั้น
โดย คุณชาตรี โรจนอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์
บล. เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KTBST SEC)
www.mitihoon.com