ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” มีรายงานว่า จาก บล.กสิกรไทย ระบุว่า ฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรของ PR9 จะฟื้นตัวขึ้นในปี 64-65 จากปริมาณคนไข้และการประหยัดต้นทุนที่ดีขึ้น ส่วน SRICHA มีลุ้นผลงานพลิกเป็นบวกในปี 63-64 จาก backlog คุณภาพสูงของบริษัท ขณะที่คาดกำไรของ SAT ในปี 64 จะโตขึ้นจากการผลิตยานยนต์ที่สูงขึ้น เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้น
1.PR9 แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10.60 บ./หุ้น เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติขึ้น 66% 87% และ 82% ในปี 2563-65 ตามลำดับเพื่อสะท้อนผลประกอบการไตรมาส 3/2563 ที่ออกมาดีกว่าที่คาดไว้ กอปรกับต้นทุนที่ลดลงอย่างสม่ำเสมอและโมเมนตัมรายได้ที่ดี ผู้บริหารให้แนวทางว่า PR9 ต้องการรายได้ที่ 170 ลบ./เดือน เพื่อให้ถึงจุดคุ้มทุน ซึ่งลดลงจากที่ 190 ลบ./เดือน หนุนจากการลดต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) อย่างเข้มงวด ต้นทุนที่ลดลงส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายพนักงานตามมาด้วยค่าสาธารณูปโภค เราคาดว่ารายได้จะกลับมาเติบโตหลักสิบในปี 64 หนุนจากจำนวนเคสเปลี่ยนถ่ายไตที่มากขึ้นจากอุปทานที่มากขึ้น จำนวนเคสผ่าตัดที่มากขึ้นจากการออกแพ็กเกจโปรโมชั่นและจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่บินเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้นหลังรัฐบาลผ่อนคลายระเบียบข้อบังคับ
นอกจากนี้ โมเมนตัมรายได้ของคลินิกปัจจุบันส่วนใหญ่ (OPD) ยังกลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในเดือน ต.ค.-พ.ย. แล้ว PR9 ตั้งเป้าเปิดให้บริการศูนย์การแพทย์ใหม่อีก 4 แห่ง ในปี 2564 ดังนั้น ต้นทุนที่ลดลงและรายได้ที่เติบโตขึ้นจะช่วยเพิ่มขนาดและส่งผลให้ EBITDA margin ของ PR9 ปรับเพิ่มขึ้น ราคาเป้าหมายปี 64 ของเราที่ 10.60 บาท สะท้อน PERs ที่ 36.3 เท่า ในปี 2564 ใกล้เคียงกับที่ +1SD (36.9 เท่า) และ 28.4 เท่าในปี 2565 ซึ่งน้อยกว่าระดับเฉลี่ย 2 ปี (30.2 เท่า) ขณะที่อัตราตอบแทนเงินปันผลในปี 2563 อยู่ที่ 0.9%
2.SRICHA แนะนำ “ซื้อ”เป้าหมาย 18 บ./หุ้น รายงานกำไรปกติสูงสุดในรอบ 5 ปี ที่ 76 ลบ. ในไตรมาส 3/2563 รายได้ของ SRICHA เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 414 ลบ. (+28% QoQ +90% YoY) ในไตรมาส 3/2563 หนุนจากการรับรู้รายได้ของโครงการ PEXCELL และจาก GPM ที่สูงของโครงการ PEXCELL อยู่ที่ราว 40% อิงจากประมาณการของเราตามสถิติในอดีต GPM รวมของ SRICHA จึงเติบโตขึ้นอย่างมากมาอยู่ที่ 34% จาก 14% ในไตรมาส 2/63 และ 18% ในไตรมาส 3/62 สำหรับแนวโน้มต่อจากนี้ เราคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4/63 เป็นต้นไป เนื่องจาก SRICHA เพิ่งได้รับงานโครงการ T3 มากขึ้น มูลค่ารวม 500 ลบ. จากลูกค้าซึ่งช่วยหนุนให้ยอด backlog ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นราว 2 พันลบ. ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดตลอดกาล ทั้งนี้ ยอด backlog ดังกล่าวประกอบด้วยโครงการที่มีอัตรากำไรสูง (GPM อยู่ที่ราว 40-50% อิงจากประมาณการของเราตามสถิติในอดีต) ที่ได้รับมาเพราะชื่อเสียงที่ดีในกลุ่มลูกค้า เราคาดว่า SRICHA จะรายงานกำไรสุทธิที่เติบโตขึ้นเป็น 70-100 ลบ. ในไตรมาส 4/63 ถึงไตรมาส 3/64 จากยอด backlog ดังกล่าว
3.SAT แนะนำ “ซื้อ” เป้าหมาย 16 บ./หุ้น จากจำนวนรถบรรทุกขนาด 1 ตันที่สูงทั้งสำหรับการผลิตในประเทศ (+18.81% YoY) และยอดขายส่งออก (+172.23% YoY) ตัวเลขดังกล่าวจึงน่าจะส่งผลบวกต่อ SAT จากค่าความสัมพันธ์ระหว่างรายได้และการผลิตรถยนต์ที่ 80% ทั้งนี้ SAT เป็นผู้ผลิตเพลาท้ายรายใหญ่ที่สุดซึ่งใช้ในการผลิตรถบรรทุกขนาด 1 ตันและรถยนต์พาณิชย์ขนาดใหญ่โดยมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 76% ในประเทศไทย นอกจากนี้ เราเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์มากกว่าที่จะเห็นชอบโครงการแลกรถเก่า 100,000 คัน เพื่อกระตุ้นอุปสงค์รถยนต์ในประเทศเนื่องจากอุตสาหกรรมรถยนต์คิดเป็นสัดส่วนที่ 6% ของ GDP ประเทศไทยในปี 2562 และมีแรงงานที่ทำงานในอุตสาหกรรมนี้ประมาณ 8-9 แสนคน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอาจเพิ่มบรรยากาศลงทุนเชิงบวกให้กับหุ้นในกลุ่มรถยนต์โดยเฉพาะ SAT ซึ่งเราคาดว่าจะเป็นหุ้นที่ปลอดภัยที่สุดในกลุ่มบริษัทรถยนต์ที่ฟื้นตัวขึ้นจากสถานะเงินสดสุทธิและปัจจัยเสี่ยงที่จำกัดจากการแทรกแซงตลาดของรถยนต์ไฟฟ้า (แค่ประมาณ 2% ของรายได้ที่สัมพันธ์โดยตรงกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน)
เราคาดว่า DPS ปี 63-65 จะอยู่ที่ปีละ 0.9-1.2 บาท หรือสะท้อนถึงอัตราตอบแทนเงินปันผลที่ 6-8% จากงบดุลและปริมาณเงินสดในมือที่แข็งแกร่งของ SAT ที่ 4 บาท/หุ้น
www.mitihoon.com