มิติหุ้น-NER เผยว่า มติคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากงวด 9 เดือนปี 2563 ในอัตรา 0.06 บ./หุ้น XD 07 ม.ค. โดยจ่ายปันผลเป็นเงินสด มั่นใจปี 2563 เติบโตตามเป้า ด้านปี 64 ตั้งเป้ารายได้ 22,000 ล้านบาท จากความต้องการใช้ยาง ประกอบกับโรงงานสามารถเดินเครื่องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมเตรียมจำหน่ายแผ่นรองพื้นในคอกของปศุสัตว์ ในช่วงไตรมาส 3/2564 ซึ่งสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นทุนในระดับสูง และมีความต้องการจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า มติคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563 อนุมัติการจ่ายเงินปันระหว่างกาลผลงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม 2563ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 โดยจ่ายปันผลเป็นเงินสด อัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.06 บาทต่อหุ้น วันที่จ่ายปันผล 20 มกราคม 2564 คิดเป็นเงิน 96,880,734.36 บาท วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 7 มกราคม 2564 วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 8 มกราคม 2564
สำหรับผลประกอบการในปี 63 บริษัทคาดว่ารายได้จะสามารถโตตามเป้าที่วางไว้ที่ 17,000 ล้านบาท จากโรงงานผลิตเดิมและโรงงานแห่งใหม่ สามารถผลิตได้เป็นไปตามแผน อีกทั้งยังมีคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหญ่ในประเทศเพิ่มขึ้น จนทำให้ปัจจุบันกำลังการผลิตของบริษัทเกือบเต็ม 100 % แล้ว นอกจากนี้บริษัทยังคาดว่าจะสามารถรักษาอัตรากำไรได้ดีจากการป้องกันความเสี่ยงของราคายางที่ผันผวนด้วยวิธี matching order โดยเมื่อมีคำสั่งซื้อจะสต็อกยางไว้ส่งมอบด้วยราคาที่ตกลงกันในเวลานั้น ไม่ได้เป็นการรับคำสั่งซื้อมาก่อนแล้วค่อยหาสินค้ามาส่งมอบภายหลังซึ่งราคาอาจจะไม่เท่าเดิม
ด้านเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมในปี 2564 บริษัทตั้งเป้ารายได้ 22,000 ล้านบาท โดยมองว่าความต้องการใช้ยางในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยหนุนหลายด้าน ส่วนปริมาณการขายคาดว่าจะสามารถทำยอดขายยางพาราอยู่ที่ 410,000 ตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 465,000 ตัน นอกจากนี้ราคาขายเฉลี่ยในปี 2564 จะสูงกว่าปี 2563 ค่อนข้างมากเนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการซื้อของผู้ซื้อยาง ด้านสัดส่วนของยอดขายในปี 64 ทางบริษัทยังวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 50:50 ซึ่งมองว่าเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมของลูกค้าในประเทศที่มีการเพิ่มกำลังการผลิตจากการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนย้ายมาตั้งโรงงานอยู่ที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และลูกค้าต่างประเทศที่มีความต้องการใช้ยางธรรมชาติอยู่ แต่ปริมาณของผู้ส่งออกยางธรรมชาติในประเทศไทยมีปริมาณลดลง
พร้อมกันนี้ในปี 2564 บริษัทยังมีแผนการลงทุนเครื่องจักรแผ่นรองพื้นในคอกของปศุสัตว์ ที่ได้มีการพัฒนาสูตรร่วมกับ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ประมาณ 240 ล้านบาท โดยจะติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2/2564 และเริ่มจำหน่ายได้ในช่วงไตรมาส 3/2564 ทำให้ปี 2564 จะมีรายได้จากส่วนนี้เข้ามาเสริม ซึ่งสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นทุนในระดับสูง ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการจดสิทธิบัตรด้านรูปลักษณ์ ส่วนในเรื่องของประสิทธิภาพเป็นไปตามมาตรฐาน และมีความต้องการจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
www.mitihoon.com