มิติหุ้น – นางชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (MC) เปิดเผยถึงผลดำเนินงานของบริษัทงวดไตรมาส 2 ปี 2564 และงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 (สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2563) ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ งวดไตรมาส 2 จำนวน 226 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 108% เมื่อเปรียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 109 ล้านบาท แต่ปรับตัวลดลงเล็กน้อยเพียง 0.3 % เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 227 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 335 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 291 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามผลดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้น แม้ภาพรวมเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากการกลับมาระบาดรอบใหม่ของโควิด 19 ซึ่งเป็นการกลับมาระบาดในช่วงเทศกาลจับจ่ายของผู้บริโภคพอดี แต่การที่บริษัท ได้มีการปรับกลยุทธ์ในการทำธุรกิจ ด้วยการมุ่งช่องทางการขายร้านค้าออนไลน์ (E-commerce) และยังรักษาช่องทางการขาย Offine ไว้ให้ใกล้เคียงกับปีก่อนและการใช้แคมเปญทางการตลาดต่างๆ เข้ามากระตุ้นร่วมด้วยจึงส่งผลให้ รายได้จากการขายของบริษัทจะสามารถทรงตัวได้ที่ 1,134 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนงวดครึ่งปีบริษัทมีรายได้จากการขาย 1,913 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นางชนัญญารักษ์ กล่าวว่า ผลดำเนินงานงวดครึ่งแรกของปีที่สามารถเติบโตได้ คณะกรรมการของบริษัท (บอร์ด) ได้มีมติให้จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นทั้งจากผลดำเนินงานและกำไรสะสมในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท
“ถือว่าเป็นการจ่ายปันผลเกินนโยบายของบริษัทที่กำหนดไว้ว่าจะจ่ายไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ เพราะการจ่ายปันผลที่บอร์ดอนุมัติจ่ายผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.35 บาทคิดเป็น 87.5% ของกำไรสุทธิงวดครึ่งปีที่บริษัทมีกำไรสุทธิต่ออยู่อยู่ที่ 0.42 บาทต่อหุ้น” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าว
ทั้งนี้บริษัทเตรียมจ่ายปันผลจากกำไรสะสมเป็นเงินสด 0.35 บาทต่อหุ้น กำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 25 ก.พ.64 และกำหนดจ่าย 11 มี.ค.64
นางชนัญญารักษ์ได้ กล่าวเพิ่มเติมถึงช่องทางการขายที่สร้างรายได้ให้กับบริษัท ว่าการเน้นกลยุทธ์ในการขายผ่านร้านค้าการขายผ่าน ร้านค้าออนไลน์( E-Commerce) ส่งผลให้รายได้ยังสามารถเติบโตได้และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นด้วย โดยในงวดไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนแรก รายได้จากการขายผ่าน E-Commerce เพิ่มขึ้นชัดเจน โดยมีรายได้จากการขาย 125 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 34% และ มีรายได้ 224 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 41% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ
ขณะที่ร้านค้าปลีกของตนเอง ไตรมาส 2 มีรายได้อยู่ที่ 628 ล้านบาทลดลง 6.4% เมื่อเปรียบเทียบกับ งวดเดียวกันของปีก่อน และ 6 เดือนมีรายได้ 1,070ล้านบาทลดลง 3.8% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน รายได้การขายผ่าน ห้างสรรพสินค้า ไตรมาส 2 อยู่ที่ 359 ล้านบาท ลดลง 2.5% ส่วนงวด 6 เดือนอยู่ที่ 596 ล้านบาท ลดลง 4.2% และรายได้ขายผ่านซูเปอร์สโตร์ (Superstore)ไตรมาส 2 มีรายได้จากการขาย 18 ล้านบาทลดลง 14.2% และงวด6 เดือนมีรายได้ 30 ล้านบาทลดลง 1%
ขณะที่มีอัตรากำไรขั้นต้น ไตรมาส 2 ปีบัญชี 2564 จำนวน 686 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5 เมื่อเทียบกับ งวดเดียวกันของปีก่อน โดยอัตรากำไรขั้นต้น อยู่ที่ 60.5 % เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 58% เป็นผลจากสัดส่วนการขายผ่าน ช่องทางออนไลน์ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการขายโดยรวมลดลงจากเดิม
สำหรับงวดครึ่งปีบัญชี 2564 มีกำไรขึ้นต้น ที่ 1,158 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรไรขั้นต้นที่ 60.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 58.3%
ทั้งนี้ ณ สิ้น 31 ธ.ค 2563 กลุ่มบริษัท มีเงินสดแลรายการเทียบเท่าเงินสดและเงินลงทุนชั่วคราว 1,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 364 ล้านบาท เป็นผลจากกระแสเงินสดรับสุทธิจากกำไรการดำเนิน 517 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจาก ผลกำไร จากการดำเนินงานก่อนภาษี เงินได้ 411ล้านบาท ลูกหนี้กำรค้ำและลูกหนี้หมุนเวียนอื่นลดลง 73 ล้านบาทและสินค้าคงคลังลดลง 5 ล้านบาท เป็นต้น
www.mitihoon.com