CGH รุกลงทุนใน ‘ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล’

895

มิติหุ้น-บมจ. คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ตกลงที่จะเข้าลงทุน 25%  ในกลุ่มบริษัท คริปโตมายด์ ซึ่งประกอบธุรกิจให้คำปรึกษาและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำระดับประเทศ โดยการเข้าลงทุนในครั้งนี้ เป็นการลงทุนรุกตลาดธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อเข้าสู่การลงทุนยุคใหม่ รูปแบบใหม่ พร้อมนำเทคโนโลยีที่สามารถช่วยยกระดับโลกแห่งการเงินให้เข้าสู่ความพร้อมสำหรับอนาคตยุคดิจิทัล

นายทอมมี่ เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)  หรือ CGH เปิดเผยว่า ล่าสุด บริษัทฯ ตกลงที่จะเข้าลงทุนร้อยละ 25  ในกลุ่มบริษัท คริปโตมายด์ ซึ่งประกอบธุรกิจให้คำปรึกษาและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำระดับประเทศ โดยมีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ เชี่ยวชาญ ในการเป็นที่ปรึกษาให้แก่ Exchange และโปรเจคมากมายระดับโลก รวมถึงคร่ำหวอดในวงการสินทรัพย์ดิจิทัล มีเครือข่ายด้านสื่อทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงมีสื่อและชุมชนด้านการลงทุนคริปโตที่มีผู้ติดตามมากที่สุด ทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมมากกว่า 500,000 คน และเป็นผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดและเจ้าแรกของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขอใบอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. โดยหลังได้รับใบอนุญาต คาดว่ามีสินทรัพย์ภายใต้การดูแล 500 ล้านบาท โดยมีผลิตภัณฑ์อย่าง DeFi Yield Fund ที่มีกลยุทธ์ในการสร้างรายได้จาก Decentralized Finance (DeFi) ซึ่งเน้นย้ำที่จะสร้างกลยุทธ์รูปแบบใหม่ที่มีความพิเศษที่แตกต่างจากสินทรัพย์อื่น เพื่อให้ลูกค้าได้ประโยชน์สูงสุดจากโลกสินทรัพย์ดิจิทัล

ปัจจุบัน CGH ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการลงทุน ประกอบด้วยธุรกิจหลักทรัพย์ : บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ CGS  และธุรกิจบริหารจัดการกองทุน : บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด(มหาชน) หรือ MFC  โดยการลงทุนของ CGH ในครั้งนี้ ถือเป็นการเดินหน้าเข้าลงทุนครั้งแรกในโลกธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อบริหารธุรกิจหลักทรัพย์ซึ่งอยู่ภายใต้การลงทุนของบริษัทฯ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS  เป็นบริษัทที่ CGH เข้าไปลงทุน มีพัฒนาการที่เติบโตแบบก้าวกระโดดในทุกสายงานธุรกิจ โดยดำเนินธุรกิจตามแผนงานบริการธุรกิจแบบครบวงจร สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดธุรกรรมหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้นมากว่าเท่าตัวในรอบปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบัน อยู่ที่อันดับ 15  จากอันดับที่ 32 จาก 38 บริษัทหลักทรัพย์ ในขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าอยู่ในอันดับ Top 3  ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 จากอันดับ 23 จาก 40 บริษัท และมีสัดส่วนลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 20% ต่อปี โดยปีที่ผ่านมา บล. คันทรี่ กรุ๊ป มีรายได้ธุรกรรมซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 77.50 เมื่อเปรียบเทียบจากปีก่อน รายได้ธุรกรรมซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.92 เมื่อเปรียบเทียบจากปีก่อน และได้รับรางวัล “TFEX Agent of The Year 2020” จากตลาดหลักทรัพย์ฯ 2 ปีซ้อน

นายทอมมี่ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา ได้เล็งเห็นถึงโอกาสการลงทุนในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยดำเนินการปรับเปลี่ยนมุ่งเดินหน้าสู่ธุรกิจดิจิทัลแบบครบวงจร ปรับโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ โดยการนำเทคโนโลยีด้านดิจิทัลมาประยุกต์พัฒนาองค์กรในรูปแบบทางด้านการบริการทางการเงินออนไลน์  เพื่อพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันนำมาซึ่งการเติบโตของธุรกิจในภาพรวม บริษัทฯ เริ่มลงทุนด้านระบบดิจิทัลมาปรับใช้ทั้งในด้านการลงทุน พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีแพลตฟอร์มการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตและความต้องการลงทุนที่ขยายตัวสู่ทางเลือกใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้าได้เข้าถึงเทคโนโลยีด้านงานสนับสนุนบริการ โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสนับสนุนให้บริษัทฯ ขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ในแบบดิจิทัล จึงเลือกเข้าไปลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อเสริมธุรกิจอีกทางหนึ่ง

นอกจากนี้ บล.คันทรี่ กรุ๊ป กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ โดยมีการนำเทคโนโลยีทางการเงิน หรือ Fintech เข้ามาปรับใช้ใน CGS Mobile Trading Application ให้เป็น Super App ที่ใช้งานง่าย สะดวก รวมถึงค่าธรรมเนียมที่ถูกลง พร้อมครอบคลุมทุกบริการ  โดยคาดว่าจะเปิดตัว Mobile Trading Application เฟสแรก ในไตรมาส 2 ที่จะถึงนี้ โดยลูกค้าสามารถดูพอร์ตการลงทุนทุกประเภทที่มีอยู่  สามารถซื้อ-ขายธุรกรรมต่างๆ อาทิ หุ้น อนุพันธ์ ตราสารหนี้ กองทุน ได้ที่เดียว ตลอดเวลาทำการ  อีกทั้งยังสามารถดู บทวิเคราะห์หรือคำแนะนำในการเลือกลงทุนตามสถานการณ์ต่างๆ และมีแผนจะเปิดเฟสสอง สำหรับการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล และซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศสำหรับบุคคลธรรมดา ต่อไป

สำหรับ อนาคต พยายามหาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามแผนงาน และยังมีนโยบายขยายทีมงานด้านการตลาดเพื่อเพิ่มสัดส่วนทางการตลาดให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม อีกด้วย

ในการเข้าลงทุนในบริษัทธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ในครั้งนี้ เป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มประโยชน์การลงทุนของลูกค้าสูงสุด และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของนักลงทุนในยุคดิจิทัล อีกทั้ง บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าธุรกิจและแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในการลงทุนที่เติบโตอย่างรวดเร็วและยั่งยืน ต่อไป

www.mitihoon.com