ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ บมจ.เอไอ เอนเนอร์จี หรือ AIE ว่า ฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/64 จะอยู่ที่ 139 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) แต่ลดลง 45% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) โดยคาดรายได้รวมอยู่ที่ 1,864 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% (YoY) และเพิ่มขึ้น 16.5% (QoQ) โดยเป็นผลมาจาก (1) คาดว่าปริมาณการจำหน่ายไบโอดีเซลลดลง 10% (YoY) แต่ราคาน้ำมันไบโอดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 11% (YoY) ทำให้คาดว่ารายได้จากน้ำมันไบโอดีเซลทรงตัว YoY (2) คาดปริมาณการจ าหน่ายกลีเซอรีนลดลง 10%YoY จากการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลที่ลดลง และปัญหาเรื่องตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนที่ทำให้การนำเข้ากลีเซอรีนเป็นไปด้วยความยากลำบาก และ (3) อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะอยู่ที่ 9.5% ทรงตัว YoY แต่ลดลง QoQ จากการใช้กำลังการผลิตที่ลดลง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากความไม่ได้เปรียบในเรื่อง Economies of Scale
แนวโน้ม 2Q64 ทรงตัว จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอก 3
ฝ่ายวิจัยคาดว่าปริมาณการจำหน่ายไบโอดีเซลใน 2Q64 จะชะลอตัวลง เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอก 3 กลับมากดดันการเติบโตอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันไบโอดีเซลและกลีเซอรีนดิบซึ่งเป็นผลพลอยได้ประมาณ10% จากการผลิตไบโอดีเซลลดลงไปด้วย โดยคาดว่าในไตรมาส 2/64 หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย จะทำให้ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล
ค่อยๆ ฟื้นตัว และจะกลับมาในช่วงครึ่งปีหลังปี 64 นอกจากนี้ ประเด็นที่ ครม. ไฟเขียวยกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันดีเซลจากปาล์ม 100% ในส่วนนี้มองว่าเป็นกลางต่อบริษัท เนื่องจากสินค้าพิกัดใหม่จะมีต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้น และอาจจำเป็นต้องสร้างระบบใหม่เพื่อผลิตสินค้า ทำให้คาดว่าจะไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท
แนะนำ“ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายที่ 2.76 บาท
ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” แม้ในระยะสั้นบริษัทจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 1/64 ซึ่งส่งผลให้อุปสงค์ในการใช้น้ำมันไบโอดีเซลลดลง เนื่องจากประชาชนมีการลดการเดินทางเพื่อลดการแพร่ระบาด ฝ่ายวิจัยมองว่าประเด็นดังกล่าวจะคลี่คลายในช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากรัฐบาลฯ มีการจัดหาวัคซีนป้องกัน COVID-19 เพิ่ม และคาดว่าจะมีการฉีดอย่างแพร่หลายในช่วงไตรมาส 2/64 ทำให้ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าแนวโน้มอุปสงค์ในการใช้ไบโอดีเซลจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะในช่วงเวลาดังกล่าว
ประกอบกับการผลิตที่มากขึ้น จะส่งผลให้ได้รับ กลีเซอรีนในปริมาณที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันยังมีอุปสงค์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอินเดีย ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง โดยเชื่อว่าจะช่วยหนุนผลประกอบการของบริษัทให้เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ทำให้มองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมา เป็นจังหวะในการ “ทยอยสะสม” ราคาเป้าหมายที่ 2.76 บาท อิง PER 21.9 เท่า