มิติหุ้น – นายจุติพันธุ์ มงคลสุธี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ TKS ผู้ประกอบธุรกิจ Security Printing ครบวงจรรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในงวดไตรมาส 1 ปี 2564 (1 ม.ค.-31 มี.ค. 2564) บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 107.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 146.6 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 43.5 ล้านบาท มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 470 ล้านบาท ลดลง 20.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.2 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 491.2 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นผลให้ยอดขายสินค้าในกลุ่มธนาคารและการส่งออกชะลอตัวลง
“ผลประกอบการออกมาเป็นที่น่าพอใจ จากผลของการปรับโครงสร้างกิจการของกลุ่มบริษัทในธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ตั้งแต่ไตรมาส 2/2563 เป็นต้นมา ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขอบเขต (Economy of scope) ซึ่งช่วยให้สามารถลดต้นทุนการผลิตลงร้อยละ 12.5 และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 12.9 ประกอบกับบริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าเพิ่มขึ้น 22.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 45.2 ทำให้ภาพรวมอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มเพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ 133.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.8 จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มบริษัทยังคงสามารถบริการจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงที่ผ่านมาพบว่าหลายส่วนงานเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ ประกอบกับบริษัทมีการวางแผนขยายฐานลูกค้าและโปรดักส์ใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น รวมถึงมองหาโอกาสเข้าร่วมประมูลงานจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญและถนัด คาดว่าจะส่งผลให้ยอดขายจากการขายและการให้บริการปีนี้จะเติบโตขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ
ส่วนการกลับมาแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และขยายตัวเป็นวงกว้างในขณะนี้นั้น มองว่าอาจส่งผลกระทบต่อโอกาสที่จะได้งานใหม่ต้องล่าช้าหรือเลื่อนกำหนดออกไปบ้างในระยะสั้น แต่เชื่อว่าทิศทางผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2564 ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ซึ่งจะสนับสนุนเป้าหมายการเติบโตรายได้ปีนี้เติบโตได้มากกว่าร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีรายได้จากการขายและการให้บริการอยู่ที่ 2,496.9 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือรอการทยอยส่งมอบ (Backlog) แล้วกว่าร้อยละ 70 โดยประมาณ ของเป้าหมายยอดขายรวมทั้งปีแล้ว เนื่องจากกลุ่มลูกค้าของบริษัทส่วนมากเป็นรายใหญ่ทำให้มีฐานข้อมูลความต้องการในแต่ละปีที่สามารถประเมินได้ ขณะที่บริษัทยังคงมีความสนใจเข้าร่วมประมูลงานเกี่ยวเนื่อง Printing ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตมากขึ้นในอนาคต
ขณะเดียวกันบริษัทจะมีการทำตลาดของธุรกิจลาเบล (Label) และแพคเกจจิ้งให้มากขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีมาก โดยเฉพาะแพคเกจจิ้ง เป็นเทรนด์ที่มีความต้องการใช้งานสูง พร้อมกันนี้บริษัทยังพิจารณาที่จะทำคลังสินค้า โดยบริษัทมีฐานลูกค้าบ้างแล้วในกลุ่ม B2B และเชื่อว่าจะเป็นโอกาสที่จะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทอีกทางในอนาคตด้วย
www.mitihoon.com