มิติหุ้น-TACC ฉายแววเด่น หลังราคาหุ้นวิ่งอุตลุด โบรกชี้ราคามีแววทำนิวไฮในรอบปีนี้ที่ 6 บาท ส่วนปัจจัยพื้นฐานไม่ธรรมดา เชื่อผลงานฟื้นแรงช่วงไตรมาส 2/2561-ขายลิขสิทธิ์ญี่ปุ่น-ผุด 3 โปรดักส์ใหม่-แตกไลน์ธุรกิจ ทั้งปีกำไรนิวไฮ
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า วานนี้ (27มี.ค.61) ราคาหุ้น “บมจ.ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์หรือ TACC” ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยปิดตลาดที่ 5.05 บาท เพิ่มขึ้น 0.33 บาท หรือ เพิ่มขึ้นถึง 6.99% ซึ่งระหว่างวันปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 5.10 บาท และ ต่ำสุดที่ 4.72 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 63.42 ล้านบาท
ลุ้นทดสอบนิวไฮ6บ.
ด้านน.ส.ศศิมา หัตถกิจนิกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป เปิดเผยว่า จากสัญญาณทางเทคนิคหุ้น TACC พบว่ายังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งนักลงทุนสามารถเข้า “เก็งกำไร” ได้ โดยประเมินแนวต้านแรกที่ 5.40 บาท ซึ่งหากผ่านได้มีโอกาสลุ้นทดสอบจุดสูงสุดในรอบปีนี้ที่แนวต้าน 6 บาท ส่วนแนวรับที่ 4.90 บาท
ด้าน “บล.ฟินันเซีย ไซรัส” เผยปี 2561 คาด TACC จะทำกำไรนิวไฮที่ 125 ล้านบาท หรือโตกว่า 11% แม้ช่วงไตรมาส 1/2561 ผลงานจะอ่อนตัวลงเพราะช่วงโลซีซัน และได้รับผลกระทบจากภาษีน้ำตาล เพราะเพิ่งได้รับอนุมัติสูตรจาก 7-11 (น้ำตาลน้อย/ไม่มีน้ำตาล) และจะเริ่มขายสูตรใหม่ได้ในไตรมาส 2/2561 ดังนั้นไตรมาส 2/2561จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
รับทรัพย์ขายลิขสิทธิ์ญี่ปุ่นQ2/61
อีกทั้งการที่บริษัทได้ License จากบริษัท San-X (ญี่ปุ่น) ในการเป็นตัวแทนให้สิทธิ์ใช้ตัวการ์ตูน Rilakkuma และผองเพื่อน (License providing agent) ให้กับลูกค้าได้ทั้งหมด 7 ประเทศได้แก่ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา ลาว เวียดนาม และพม่า โดย TACC ได้รับ License เป็นระยะเวลา 4 ปี (2561-2564) พร้อมกับพ่วงลูกค้าเดิม 22 รายมาพร้อมกับ License ฉบับนี้ด้วย ซึ่งบริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จาก License Fee นี้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2562 เป็นต้นไป แนะนำ “ซื้อ” เป้าหมาย 6 บาท
ปักธงรายได้โต 10%
ด้าน “นายชัชชวี วัฒนสุข” ประธานกรรมการบริหาร TACC เปิดเผยว่า ปี 2561 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% โดยมีแผนเดินหน้าพัฒนาสินค้าใหม่ เพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดประมาณ 2-3 ผลิตภัณฑ์ จะช่วยสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างรวดเร็ว และมีความยั่งยืน ทั้งในธุรกิจ B2B และ B2C พร้อมกันนี้จะแตกไลน์ธุรกิจใหม่เพื่อลดการพึ่งพา 7-11 โดยภายในปี 2563 ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเอง (B2C)เป็น 35% และโออีเอ็ม (B2B) ให้ 7-11 ลดลงอยู่ที่ 65% จากปัจจุบัน 84%
www.mitihoon.com