ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ หรือ TACC โดย “บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)” เปิดเผยว่าฝ่ายวิจัยยังคงมองบวกกับแนวโน้มธุรกิจของ TACC ในระยะยาว เนื่องจาก 1. น่าจะมีการผ่อนคลายข้อจำกัดเพื่อคุม COVID-19 ในช่วงครึ่งปีหลัง และ 2. กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น
สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชง บริษัทคาดว่าจะเริ่มออกผลิตภัณฑ์บางชนิดได้ภายในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เมื่อได้รับอนุมัติจาก อย. แล้ว ดังนั้นทั้งปี 64 คาดกำไรสุทธิทำนิวไฮที่ 211 ล้านบาท เติบโต 11.9% จากปีก่อน และปี 65 นิวไฮต่อเนื่อง 239 ล้านบาท เติบโต 13.6% จากปีก่อน และให้ TACC เป็นหุ้นเด่น ที่มีอัตรากำไรแข็งแกร่ง และ ROE สูง (26.5% ในปี 2563 และ 30.0% ในช่วงปี FY64-65F) ดังนั้นแนะนำ “ซื้อ”เป้าหมายที่ 11.70 บาท
“นายอำนาจ โงสว่าง” ผู้อำนายการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ปี 64 คาดกำไรสุทธิจะทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ที่ 236 ล้านบาท เติบโต 25% จากปีก่อน โดยเป็นผลมาจากการขยายสาขา 7-11 ในประเทศที่ 700 สาขา/ปี, คาด gross profit margin ที่ระดับ 35% และคาดการขยายสาขา 7-11 ไปยังประเทศกัมพูชาและลาว มีรายได้จากทั้ง 2 ประเทศประมาณ 12 ล้านบาท โดยเบื้องต้นฝ่ายวิจัยได้สมมติฐานการเปิดสาขาในกัมพูชา 100 สาขา และลาว 100 สาขา โดยช่วงเริ่มต้นคาดรายได้เฉลี่ยของ TACC/สาขา/ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 60,000 บาท (ปี 64 ประเทศไทย รายได้เฉลี่ยของ TACC/สาขา/ปี =109,600 บาท)
พร้อมกันนี้ TACC ยังมีปัจจัยบวกตรงที่บริษัทสามารถขายชาขวดในกัมพูชาได้ รวมถึงปัจจุบันยังมีปัจจัยหนุนทั้งเรื่องดีล M&A, TESCO, การขยายตลาดการ์ตูนลิขสิทธิ์ และแผนการทำเครื่องดื่มกันชง ทำให้ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าราคาหุ้นควรกลับไปเทรดที่อย่างน้อยเท่ากับค่าเฉลี่ย 5-yr average PER ที่ 30x ดังนั้นแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 11.60 บาท
ด้าน “นายชัชชวี วัฒนสุข” ประธานกรรมการบริหาร เปิดเผยว่า ภาพธุรกิจปี 64 บริษัทคาดรายได้จะเติบโต 10-15% จากการเน้นกลยุทธ์การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเดิม และออกสินค้าใหม่ตามเทรนด์ผู้บริโภค และร่วมพัฒนาสินค้าให้กับลูกค้า
www.mitihoon.com