INETREIT เทรดวันแรกสุดคึกคัก ชูทรัพย์สินโครงการ INET-IDC3 เฟส 1 อยู่ในธุรกิจแห่งอนาคตที่ได้รับประโยชน์จากยุคดิจิทัล

144

ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไอเน็ต (INETREIT) เข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อย่อ INETREIT  นักลงทุนให้การตอบรับดีเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง หลังได้รับการตอบรับอย่างคึกคักทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยในการเสนอขายหน่วยทรัสต์ที่ผ่านมา  ชูศักยภาพทรัพย์สินโครงการ INET-IDC3 เฟส 1 อยู่ในธุรกิจแห่งอนาคตที่ได้รับประโยชน์จากยุคดิจิทัล ประมาณการผลตอบแทนปีแรก 8.96 

            นางสาวพรวิสาข์ มังกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอเน็ต รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ เปิดเผยว่า ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไอเน็ตหรือINET Leasehold Real Estate Investment Trust (INETREIT) ได้เข้าจดทะเบียนและซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันนี้ (9 สิงหาคม 2564) คาดว่าจะได้รับความสนใจและการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ด้วยจุดเด่นที่เป็นกองทรัสต์กองแรกในไทยที่เข้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีในประเทศไทย ซึ่งเป็นธุรกิจที่เป็นเทรนด์แห่งอนาคตที่จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล

            ทั้งนี้ กองทรัสต์ INETREIT มีมูลค่าการลงทุนครั้งแรก 4,300 ล้านบาท ซึ่งมาจากการเสนอขายหน่วยทรัสต์ รวมทั้งสิ้น 3,300 ล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะยาวอีก 1,000 ล้านบาท โดยกองทรัสต์ INETREIT ได้รับการตอบรับอย่างคึกคักจากนักลงทุนในช่วงที่เสนอขายหน่วยทรัสต์และปิดการจองซื้อได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของกองทรัสต์และทรัพย์สินโครงการ INET-IDC3 เฟส 1 จังหวัดสระบุรี ที่มีความทันสมัยระดับโลก มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการจัดเก็บข้อมูลสูง และตั้งอยู่โลเคชั่นที่มีความเสี่ยงต่ำในการเกิดภัยพิบัติ จึงได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าเข้าใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

            “ต้องขอขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความสนับสนุนในกองทรัสต์ INETREIT แม้ว่าจะมีปัจจัยเข้ามากดดันบรรยากาศการลงทุน เนื่องจากกองทรัสต์ INETREIT จะได้รับปัจจัยบวกจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานและจัดเก็บข้อมูลสู่ดิจิทัล (ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น) ของภาครัฐและเอกชน ส่งผลดีต่อโครงการ INET-IDC3 เฟส 1 ที่คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ในระบบคลาวด์” นางสาวพรวิสาข์ กล่าว

 สำหรับกองทรัสต์ INETREIT จะปล่อยเช่าทรัพย์สินดังกล่าวแก่ INET เพียงรายเดียวตลอดระยะเวลาการเช่า โดยเป็นค่าเช่าคงที่ และมีข้อตกลงปรับขึ้นค่าเช่าปีละ 1 ครั้ง ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี ซึ่งจะทำให้กองทรัสต์มีรายได้มั่นคงและเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 2561 – 2563 ของโครงการ INET-IDC3 เฟส 1 จังหวัดสระบุรี ก็มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยปัจจุบันโครงการ INET-IDC3 เฟส 1 มีฐานลูกค้าที่ใช้บริการจากหลายภาคส่วน ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 มีสัดส่วนลูกค้าที่เป็นหน่วยงานรัฐบาล 38.8% และภาคเอกชนในหลากหลายธุรกิจ เช่น ธุรกิจธนาคาร 24.01% ธุรกิจเทคโนโลยีไอที 13% ธุรกิจพาณิชย์ 10.99% เป็นต้น จึงมีการกระจายตัวของลูกค้าที่หลากหลาย เสริมสร้างความมั่นคงของรายได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ กองทรัสต์ประมาณการผลตอบแทนที่จะได้รับในปีแรกอยู่ที่ 8.96%  ตามประมาณการจ่ายประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ อ้างอิงตามงบกำไรขาดทุนตามสมมติฐานสำหรับช่วงเวลาประมาณการตั้งแต่ 1 เมษายน 2564 ถึง 31 มีนาคม 2565 และมีนโยบายการจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 2 ครั้งต่อรอบปีบัญชี ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว

นางสาวพรวิภา ตั้งตรงจิตร ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่าย กล่าวว่า ขอขอบคุณนักลงทุนสำหรับกระแสการตอบรับที่ดีที่ผ่านมา ทั้งจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของกองทรัสต์ ในการสร้างผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต

นายอภิชาติ เนตรจรัสแสง ผู้บริหารงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ผู้จัดการการจัดจำหน่าย กล่าวว่า INETREIT เป็นกองทรัสต์ที่มีรายได้ค่าเช่าที่มั่นคงและสม่ำเสมอ รวมถึงจะได้รับประโยชน์จากนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) โดยมีฐานลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ซึ่งจะทำให้กองทรัสต์สามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาวจากเงินปันผลแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์

             นางจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า เชื่อมั่นว่า INETREIT จะเป็นกองทรัสต์ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากโครงการ INET-IDC3 เฟส 1 ซึ่งเป็นทรัพย์สินประเภทศูนย์ปฏิบัติการข้อมูล จะได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้งานระบบคลาวด์ที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากการใช้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้นและปัจจัยต่างๆ ในยุคปัจจุบัน