มิติหุ้น – นายพิพัฒน์ อัสสมงคล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกำหนดเป้าหมายการให้บริการด้าน Transaction Banking สำหรับลูกค้าธุรกิจในปีนี้ คือการให้บริการที่ครอบคลุมทุก Segment โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือโซลูชันที่สอดคล้องกับการแข่งขันและพฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบันที่มีความเป็นดิจิทัลมากขึ้น เช่น Blockchain Solution ที่ปฏิวัติธุรกรรม Letter of Credit (L/C) และ Letter of Guarantee (L/G) ให้มีความรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกรรม มีความปลอดภัย ตรวจสอบได้ รวมถึงบริการ Digital Payment Solution ที่นำเทคโนโลยี QR มาประยุกต์ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพด้านการรับเงินและจ่ายเงินกับคู่ค้าทุกประเภท และบริการ API Payment เพื่อให้ชำระเงินได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ เป็นต้น ทำให้ปัจจุบันมีลูกค้าธุรกิจชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศให้ความไว้วางใจใช้บริการ Transaction Banking ของธนาคารแล้วกว่า 150,000 ราย
ภายใต้บริการ Transaction Banking ที่ธนาคารนำเสนอ จะประกอบด้วยบริการย่อยต่าง ๆ ที่จะช่วยสนับสนุนการจัดการทางการเงินของธุรกิจให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ผ่านบริการ Cash Management, Trade Finance, Supply Chain Finance และ Securities Services ส่งผลให้ธนาคารสามารถนำเสนอ Total Solutions ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าธุรกิจได้อย่างรอบด้านสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของธนาคารที่ต้องการเป็น “เพื่อนคู่คิด” เพื่ออยู่เคียงข้างและพร้อมสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าธุรกิจ ภายใต้การขับเคลื่อนผ่าน 4 องค์ประกอบหลัก ต่อไปนี้
- การให้ความสำคัญกับลูกค้าและมองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง หรือ Customer Centric เพื่อเข้าใจความต้องการอย่างแท้จริง และสามารถพัฒนาบริการหรือโซลูชั่นที่เข้ามาช่วยแก้ pain point ของธุรกิจลูกค้าที่มีอยู่ได้ เช่น การนำเสนอ All-in-One Packages ให้กลุ่มลูกค้า SMEs ทั้งลูกค้าที่ทำธุรกิจภายในประเทศ หรือลูกค้าที่เป็นผู้นำเข้าส่งออก โดยสามมารถรองรับการทำธุรกรรมได้ครบวงจรทั้ง online และ offline
- บุคคลากรที่มีประสบการณ์ เชี่ยวชาญ และรู้จริงในบริการ พร้อมสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างเหมาะสม ทันต่อสถานการณ์ธุรกิจ
- การคัดเลือกเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย เหมาะสม มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือได้มาต่อยอดการพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง
- การมีเครือข่ายสาขาธนาคารครอบคลุมทั้งในประเทศไทย และเขตเศรษฐกิจสำคัญทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “ธนาคารแห่งภูมิภาค” หรือ Regional Banking โดยได้ขยายศักยภาพ Transaction Banking ไปยังสาขาต่างประเทศ เพื่อให้ลูกค้านิติบุคคลที่มีธุรกรรมกับสาขาต่างประเทศสามารถใช้บริการได้อย่างสะดวกและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการธุรกรรมทางการเงิน
“สถานการณ์ตลอด 1-2 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งยังคงมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อต่อเนื่องไปอีกตลอดทั้งปี เช่นเดียวกับภาวะเศรษฐกิจภาพรวมที่อาจยังไม่สามารถฟื้นตัวได้มากนัก ดังนั้น ภาคธุรกิจยังต้องปรับตัวให้อยู่รอด โดยเฉพาะเรื่องการจัดการด้านการเงินให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งการทำธุรกรรมที่รวดเร็ว ลดขั้นตอนการดำเนินงาน และสามารถจัดการสภาพคล่องที่ต้องเตรียมพร้อมกับเหตุฉุกเฉินได้ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็ต้องบริหารความสัมพันธ์กับคู่ค้าและลูกค้า รวมถึงการหาตลาดใหม่ ๆ ซึ่งบริการ Transaction Banking จากธนาคารกรุงเทพ พร้อมเข้ามาสนับสนุนในมิติเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่”
นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า บริการ Transaction Banking ถือเป็นอีกหนึ่งบริการที่ได้รับความสนใจใช้บริการจากลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้รับรางวัลที่ยืนยันคุณภาพการให้บริการจากนิตยสารการเงินระดับโลกถึง 17 รางวัล ตลอดปี 2563 เช่น รางวัล Best Cash Management Solution in Thailand 2020 และ BEST TRADE FINANCE SOLUTION IN THAILAND 2020 จาก Alpha Southeast Asia นิตยสารชั้นนำด้านการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้ง รางวัล #1 Market Leader Ranking in Thailand 2020, #1 Global Market Leader for Thai Baht currency transactions และ #1 Market Leader in Asia Pacific จาก Euromoney นิตยสารการเงินชั้นนำจากประเทศอังกฤษ เป็นต้น ซึ่งรางวัลเหล่านี้สะท้อนถึงศักยภาพที่โดดเด่นด้านบริการ Transaction Banking ความพร้อมของเทคโนโลยีที่ทันสมัย บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ที่สามารถให้คำแนะนำและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของลูกค้าทุก Segment ได้อย่างรวดเร็ว ครบวงจร รวมถึงการมีวิสัยทัศน์ที่แม่นยำของธนาคารในการคาดการณ์และประเมินทิศทางในการพัฒนาบริการหรือโซลูชันต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจ
“ธนาคารให้ความสำคัญกับการมีส่วนยกระดับระบบนิเวศทางธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวทางการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน เช่น การเข้าร่วมกับหน่วยงานภาครัฐดำเนินโครงการพัฒนา BOT Smart Financial Infrastructure ที่จะช่วยเปลี่ยนรูปโฉมขั้นตอนการซื้อขายภายในประเทศแบบ End-to-End และลดขั้นตอนการทำงานแบบ Manual ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว รวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายที่แข็งแรงและครอบคลุมในกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ด้วยการนำเทคโนโลยี Blockchain มาพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมต่อระบบลูกค้า คู่ค้าของลูกค้า ทั้งเครือข่ายธนาคารกรุงเทพและธนาคารพันธมิตร เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้บริการสินเชื่อ รวมทั้งเร่งจับมือพันธมิตรอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทสำคัญในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เพื่อมอบประสบการณ์ไร้รอยต่อในการทำธุรกิจ บริหารจัดการเงินทุน และการชำระเงินได้แบบ One Stop Service” นายพิพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
🚩🚩ห้อง Official Line ห้องไลน์ฟรี มิติหุ้น ทันทุกสถานการณ์การลงทุน หุ้นเด่น หุ้นเด็ดตลอดวัน กับห้องไลน์ @mitihoonwealth ห้องไลน์ที่นักลงทุนเข้าเป็นสมาชิกฟรี ไม่มีเงื่อนไข เพียงคลิกลิงค์นี้ก็เข้าได้เลย และสามารถส่งต่อให้เพื่อนได้
https://lin.ee/cXAf0Dp