มิติหุ้น-ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มผันผวน โดยเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.64ที่ผ่านมา สหรัฐพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธ์ใหม่ “โอไมครอน” กดดันตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนหนัก ส่วนตลาดหุ้นไทยค่อนข้างที่จะเปราะบางจากประเด็นโควิดสายพันธ์ใหม่เช่นเดียวกัน
สะท้อนได้จาก Fund Flow ตั้งแต่กังวลโควิดโอไมครอน (26 พ.ย. – 2 ธ.ค. 64) ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1.57 หมื่นล้านบาท และสถาบันฯขายสุทธิ 7.7 พันล้านบาท อย่างไรก็ตามในระยะสั้นเริ่มเห็นแรงขายที่ชะลอลง และสถาบันฯมีการกลับมาซื้อสุทธิแล้ว
กองทุนประหยัดช่วยพยุงหุ้น
ทั้งนี้เชื่อว่าในเดือน ธ.ค. จะมี Fund Flow จากกองทุนประหยัดภาษี ที่ปกติจะมียอดซื้อเข้ามาเกิน 25% ของยอดซื้อทั้งปี และหากดูจากช่วงท้ายปี 63 แล้วมียอดซื้อกองทุน SSF และ RMF ประเภทหุ้นไทยราว 8.8 พันล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 28% ของแรงซื้อทั้งปี 2563)
ส่วนต่างชาติ แม้ยังขายสุทธิ แต่หากพิจารณาสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติอยู่ในระดับต่ำสุดตลอดการณ์ที่ระดับ 17.94% และหากรวมการถือครองผ่าน NVDR จะอยู่ที่ 23.20% ซึ่งห่างกับสมัยก่อนที่ถือครองเกิน 30% อยู่มาก
โดย “บล.เอเซียพลัส” ประเมินว่า ยังมีความคาดหวังเห็นเม็ดเงินจากกองทุนประหยัดภาษีมาช่วยพยุงหุ้นช่วงท้ายปี หากความกังวลโควิดสายพันธุ์ใหม่กินระยะเวลาไม่นาน บวกกับ Flow ต่างชาติมีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยในระยะถัดไป จากสัดส่วนการถือครองที่อยู่ในระดับต่ำ
ดังนั้นการลงทุนในช่วงนี้ ฝ่ายวิจัยแนะนำหลี่กเลี่ยงสำหรับการ Trading ช่วงสั้น และสำรองเงินสดไว้บางส่วน เพื่อหลบความผันผวนของตลาด ในมุมกลับถ้าดัชนีที่ปรับฐานลงมาลึก ถือเป็นโอกาสใน “การทยอยสะสม” เพื่อหวังผลในระยะกลางถึงยาว โดยกลยุทธ์แนะถือเงินสดในมือ 25- 35% รอสัญญาณที่ดีขึ้นแล้วค่อย “ทยอยเข้าสะสม” สำหรับพอร์ตที่เหลือแนะนำสร้างสมดุลด้วยหุ้นที่มีเกราะป้องกันโควิด อย่าง STGT, TU และ INSET เป็น Top pick
สแกน3หุ้นเด่นน่า “สะสม”
โดย INSET คาดจะเข้าสู่วงจรเติบโตก้าวกระโดดมาในอีกไม่ช้า เพราะได้รับอานิสงส์เงินลงทุน Data Center มหาศาลจากผู้ประกอบการระดับโลกที่ประกาศแผนในไทย โดยทั้งปี 65 คาดกำไรสุทธิเติบโต 10.9% แนะนำ “ซื้อ” เป้าหมาย 8.8 บาท ยังไม่รวม Dilution การแปลง INSET-W1 แต่จะรวมเมื่อเริ่มได้งานใหญ่ โครงการ Data Center ผู้ประกอบการระดับโลก สอดคล้องกับแผนเตรียมเงินไว้
STGT คาดทิศทางกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/65 จะฟื้นตัว จากงวดไตรมาส 4/64 จากแนวโน้มปริมาณขายถุงมือยาง เพิ่มขึ้นและราคาขายถุงมือยางทรงตัวจากงวดไตรมาส 4/64 โดยราคาหุ้นผ่านการปรับฐานมาสักระยะ จนมี Valuation น่าสนใจ กำหนด FV ปี 65 เท่ากับ 40 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันมี ค่า PER ปี 65 เพียง 7 เท่า และ PBV ปี 65 ที่ 1.5 เท่า แนะนำ “ซื้อ” เป้าหมาย 40 บาท
TU ธุรกิจกุ้งและ Red Lobster จะดีขึ้นในปี 65 โดยหุ้นกลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์เวลาบาทอ่อนค่า คาดผันผวนน้อยกว่าตลาด แม้ไตรมาส 4/64 กำไรสุทธิจะอ่อนตัวลงจากไตรมาส 3/64 จากธุรกิจ Red Lobster ที่อ่อนตัวลงตามฤดูกาล แต่คาดทิศทางกำไรสุทธิจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งในไตรมาส 1/65
โดยคาดกำไรสุทธิปี 64-65 จะเพิ่มขึ้น 21.9% และ 3.4% จากปีก่อน ขณะที่ Valuation น่าสนใจ ทั้งในมุมของ PE และ Div Yield กำหนด Fair Value ปี 65 เท่ากับ 26 บาท อิงวิธี DCF (WACC 7.34%) ราคาหุ้นปัจจุบันมีค่า PER ปี 65 ที่ 12 เท่า นอกจากนี้ ยังสามารถคาดหวัง Div yield ได้กว่า 4% จึงแนะนำ “ซื้อ”
🚩🚩ห้อง Official Line ห้องไลน์ฟรี มิติหุ้น ทันทุกสถานการณ์การลงทุน หุ้นเด่น หุ้นเด็ดตลอดวัน กับห้องไลน์ @mitihoonwealth ห้องไลน์ที่นักลงทุนเข้าเป็นสมาชิกฟรี ไม่มีเงื่อนไข เพียงคลิกลิงค์นี้ก็เข้าได้เลย และสามารถส่งต่อให้เพื่อนได้