มิติหุ้น – นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีนิปปอนเพนต์ในประเทศไทย ในฐานะผู้ผลิตสีรายใหญ่อันดับ 1 ของเอเชีย และอันดับ 4 ของโลกจากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า นิปปอนเพนต์ ได้รับการจัดอันดับ1 จากการจัดอันดับ Top 25 2021 Manufacturers in Asia Pacific Coatings โดย APCJ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยการจัดอันดับครั้งนี้พิจารณาจากการเป็นบริษัทที่มีได้ยอดขายสีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก “นิปปอนเพนต์” มียอดขาย 6,880 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เป็นบริษัทที่มียอดขายสูงสุด ซึ่งการจัดอันดับนี้ถือเป็นการยืนยันถึงความนิยมของแบรนด์นิปปอนเพนต์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมก่อสร้าง และผู้บริโภคในระดับสากล และสะท้อนความมั่นใจของผู้บริโภคที่มีให้แบรนด์ในระดับเอเชีย
ปัจจุบันอุตสาหกรรมสีทาบ้านและอาคารในภูมิภาคเอเชีย จาก 25 บริษัทชั้นนำมีมูลค่าตลาดรวมกันราว 23,916 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ โดยนิปปอนเพนต์มีสัดส่วนยอดขายคิดเป็น 6,880 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโดยรวม ทำให้ตลาดอุตสาหกรรมสีทาบ้านและอาคารมีการเติบโตร้อยละ 2 โดยนิปปอนเพนต์ เป็นผู้นำในตลาดสีทาบ้านและอาคารในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจีน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฮ่องกง รวมถึงในตะวันออกกลาง อาทิ บังคลาเทศ ปากีสถาน อิหร่าน เป็นต้น
ปัจจัยที่ทำให้นิปปอนเพนต์ ประสบความสำเร็จในภูมิภาคเอเชียคือ การให้ความสำคัญกับบุลคลากรในองค์กรและลูกค้า รวมถึงเรื่องของซัพพลายเชน ที่พร้อมจะช่วยแก้ปัญหาและให้คำปรึกษากับลูกค้าทุกกลุ่ม และการเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องทั้งในด้านบุคลากร และการขยายกิจการในรูปแบบต่างๆ ทั้งการลงทุนเองและการควบรวมกิจการ (M&A) ซึ่งการทำธุรกิจในแต่ละประเทศจะอยู่ภายใต้แนวคิด Think Global Act Local ตามความเหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศ
“ความสำเร็จของนิปปอนเพนต์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จะถูกสานต่อทั้งด้านนวัตกรรมและบริการ มาสู่ประเทศอื่นๆ โดยนิปปอนเพนต์ ประเทศไทย ได้นำเสนอนวัตกรรมเพื่อเป็นโซลูชั่นให้กับลูกค้าทั้งกลุ่ม B2B และ B2C ผ่านความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสีทาบ้านและอาคาร (The Coatings Expert) ที่มีการพัฒนาและนำเสนอผ่านผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง”
สำหรับแผนกลยุทธ์ของนิปปอนเพนต์ ประเทศไทยใน 3-5 ปี คือการก้าวขึ้นเป็นบริษัทสีทาบ้านและอาคารอันดับ 1 ในใจของผู้บริโภค ภายใต้โรดแมป “Total Coating Solutions” ที่พร้อมสร้างสรรค์นวัตกรรม ยกระดับบริการพร้อมให้คำปรึกษา แก้ปัญหาต่างๆ ให้กับลูกค้าในทุกๆกลุ่ม โดยกลยุทธ์นี้ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง พร้อมกันนี้นิปปอนเพนต์เดินหน้าสานต่อแคมเปญ “เพราะความใส่ใจ ทำให้เราเชี่ยวชาญ” โดยมุ่งเน้นการสื่อสารให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญที่แตกต่างของพนักงานนิปปอนเพนต์ ที่หลอมรวมกันเป็น DNA ของบริษัท ซึ่งนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมและโซลูชั่นที่ดีที่สุดเพื่อผู้บริโภค
โดยแคมเปญ “เพราะความใส่ใจ ทำให้เราเชี่ยวชาญ” นำเสนอเรื่องราวของคนในองค์กรที่แต่ละคนมีความเชี่ยวชาญที่ต่างกัน ใส่ใจทุกขั้นตอน และผ่านกระบวนการคิดที่รอบคอบ เพื่อที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ขณะเดียวกันบริษัทพร้อมสนับสนุนให้พนักงานทุกคนได้ใช้ชีวิตในสิ่งที่ชอบไม่ว่าจะเป็นด้านการทำอาหาร ชงกาแฟ หรือแม้แต่การปลูกต้นไม้ฯลฯ ก็พร้อมส่งเสริมและใส่ใจในทุกๆ ด้านเพื่อสะท้อนความเป็นผู้เชี่ยวชาญ ของนิปปอนเพนต์
นายวัชระ กล่าวอีกว่า ในปี 2565 นี้ แม้จะมีการระบาดของโควิด-19 ระลอกล่าสุดของสายพันธุ์โอมิครอน แต่จากมาตรการด้านสาธารณสุขของไทยทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น เห็นได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ อีกทั้งคนไทยส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนวัคซีนครบโดสแล้ว ผลกระทบจากการระบาดในระลอกใหม่นี้ จึงคาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นเท่านั้น ขณะที่ล่าสุดภาครัฐเองเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการความปลอดภัยของสาธารณสุข โดยปรับลดพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) และพื้นที่เฝ้าระวัง (สีเหลือง) ทำให้ผู้ประกอบการและประชาชนเองผ่อนคลายในการดำเนินกิจการและใช้ชีวิตได้ตามปกติมากขึ้น
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของนิปปอนเพนต์ในปีนี้ มุ่งมั่นในการเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมสีทั้งระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตอบรับต้องการของลูกค้าทั้งกลุ่มงานโครงการ (B2B) ที่เน้นการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูง ผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการที่มีนวัตกรรมคุณภาพสูงเพื่อลดต้นทุนการทำงาน และลดการใช้แรงงานซึ่งปัจจุบันแรงงานเป็นปัญหาใหญ่ที่ผู้ประกอบการกำลังเผชิญ แ รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคท (B2C) ที่ต้องนำเสนอสินค้าและบริการเพื่อตอบรับเทรนด์โลกในปัจจุบันและอนาคต ไม่ว่าจะเป็นสีทาบ้านเพื่อสุขภาพ นวัตกรรมป้องกันเชื้อ ไวรัสและแบคทีเรีย เป็นต้น
“ทิศทางตลาดสีทาบ้านและอาคารในปีนี้ มีแนวโน้มดีขึ้น จากปัจจัยบวกเรื่องของการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ธุรกิจกลับมาเดินหน้าต่อได้ การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในรูปแบบ Test & Go ทำให้ธุรกิจในภาคบริการกลับมาคึกคัก ห้าง โรงแรม ร้านอาหาร กลับมาเดินหน้าได้ มีการปรับปรุงรีโนเวท และเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ขณะที่ปัจจัยลบที่ต้องเฝ้าระวังคือ เรื่องของต้นทุนวัตถุดิบเช่น เคมีภัณฑ์ ปิโตรเคมี ทำให้ภาพรวมของต้นทุนสูงขึ้น โดยพบว่า มีต้นทุนรวมเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20-30% ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น”
🚩🚩ห้อง Official Line ห้องไลน์ฟรี มิติหุ้น ทันทุกสถานการณ์การลงทุน หุ้นเด่น หุ้นเด็ดตลอดวัน กับห้องไลน์ @mitihoonwealth ห้องไลน์ที่นักลงทุนเข้าเป็นสมาชิกฟรี ไม่มีเงื่อนไข เพียงคลิกลิงค์นี้ก็เข้าได้เลย และสามารถส่งต่อให้เพื่อนได้