PRINC งบQ1/65 แรงดีไม่มีแผ่ว มีกำไรสุทธิ 456.6 ลบ. โตแรง 363.6% รายได้รวม 2.1 พันล้านบาท คงเป้าปีนี้โต 20-25% แตะ 6 พันล้านบาท

179

มิติหุ้น – PRINC งบไตรมาสแรกแรงดีไม่มีแผ่ว พลิกมีกำไรสุทธิ 456.6 ล้านบาท โตพรวด 363.6% จากงวดเดียวกันปีก่อนขาดทุนสุทธิ 173.2 ล้านบาท และมีรายได้รวม 2 พันกว่าล้านบาท โต 188.4% เพียงไตรมาสเดียวมีกำไรมากกว่าปีก่อน ทั้งปีที่มีกำไรสุทธิ 92.9 ล้านบาท คงเป้าหมายรายได้ปีนี้โตในกรอบ 20-25% เหตุสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และเศรษฐกิจอาจได้รับผลกระทบจากการบริโภคชะลอตัวลง

นายธานี มณีนุตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด(มหาชน) หรือ PRINC ผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงพยาบาลเอกชนและธุรกิจสุขภาพในนาม ‘เครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์’ เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทฯในงวดไตรมาสแรกของปี 2565 นี้ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 2,085.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 1,362.2 ล้านบาท, YoY, คิดเป็นร้อยละ 188.4 โดยหากพิจารณาเฉพาะธุรกิจโรงพยาบาลที่มีอยู่เดิม มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 1,339.1 ล้านบาท (ร้อยละ 206.7) จากทุกโรงพยาบาลมีรายได้สูงขึ้น โดยเฉพาะโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ที่มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 678.4 ล้านบาท (ร้อยละ 897.1) ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลกำไรในไตรมาสแรกปีนี้ที่ 456.6 ล้านบาท ซึ่งผลประกอบการสูงขึ้นกว่าไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 629.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 363.6 (ไตรมาสที่ 1 ปี 2564 มีขาดทุนที่ 173.2 ล้านบาท) ซึ่งผลกำไรในไตรมาสแรกเพียงไตรมาสเดียว มากกว่ากำไรสุทธิที่เกิดขึ้นทั้งปีในงวดปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 92.9 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการร่วมมือกับภาครัฐดูแลรักษาผู้ป่วยในสถานการณ์โควิด-19 และยังส่งผลให้จำนวนผู้มาใช้บริการทางการแพทย์ประเภท Non Covid-19 พุ่งสูงขึ้นด้วย และปัจจุยหนุนนักท่องเที่ยวต่างชาติและไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจบริการสุขภาพเติบโตสูงมาก

ขณะเดียวกันในปี 2565 นี้ จะรับผลดีเต็มปีจากการรับรู้รายได้การเปิดดำเนินงานโรงพยาบาลอีก 2 แห่งในปีที่ผ่านมา คือ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ศรีสะเกษ, โรงพยาบาลพริ้นซ์ ลำพูน โดยเฉพาะโรงพยาบาลพริ้นซ์ ศรีสะเกษ ที่เปิดดำเนินงานเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 มีรายได้ในไตรมาสนี้ถึง 56.1 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการตรวจและรักษาโควิค -19 ส่วนการขยายโรงพยาบาลยังคงมุ่งเน้นตามแผนรวม 20 แห่งในปี 2567 จากปัจจุบัน 13 แห่ง เปิดดำเนินงานแล้ว 12 แห่งใน 10 จังหวัด รวม 1,124 เตียง และล่าสุดโรงพยาบาลพริ้นซ์ สกลนคร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดดำเนินการเปิดให้บริการได้ในปี 2566 และมีแผนเข้าไปบริหารจัดการหรือก่อสร้างใหม่อีกอย่างน้อย 2 แห่ง ทั้งในพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการขยายการให้บริการของเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์

ส่วนแผนการขยายบริการทางการแพทย์เฉพาะทางและธุรกิจสุขภาพอื่นๆ บริษัทฯได้เปิดศูนย์บริการทางการแพทย์ ให้บริการเฉพาะทางในโรคต่าง ๆ อาทิ การร่วมมือกับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ผ่านบำรุงราษฎร์  เฮลท์เน็ตเวิร์ค ร่วมเปิดศูนย์มะเร็งพิษณุเวชฮอไรซัน โรงพยาบาลพิษณุเวช และยังมีแผนขยายศูนย์การแพทย์เฉพาะทางภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวไปยังโรงพยาบาลในเครือฯอื่นๆเพิ่มเติมในปีนี้ 1-2 แห่งอีกด้วย ขณะเดียวกันยังคงร่วมมือกับ NK Group ประเทศญี่ปุ่น ขยายการให้บริการศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยและผู้สูงอายุ PRINC Recovery Center and Elder Care เตรียมขยายไปโรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ เป็นแห่งถัดไป หลังจากประสบความสำเร็จที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ซึ่งศูนย์เหล่านี้ได้รับการตอบรับดีอย่างมาก และมีส่วนกระตุ้นการเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น

พร้อมกันนี้ ยังเร่งขยายคลินิกปฐมภูมิ คลินิกใกล้บ้านใกล้ใจ ตั้งเป้า 40 สาขาในปี 2566 จากปัจจุบันเปิดดำเนินการแล้วทั้งหมด 17 สาขา เป็นกลไกสำคัญในการสร้างการเข้าถึงบริการสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลโดยเฉพาะร่วมดูแลผู้ป่วยโควิด Home Isolation กับภาครัฐในช่วงสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา

หรือแม้แต่การขยายการให้บริการธุรกิจใหม่ Aesthetic & Wellness ‘ผิวดีคลินิก’ (PEWDEE CLINIC) ทั้งหมด 10 สาขาในกรุงเทพและปริมณฑล ดำเนินงานโดยบริษัท ผิวดี เอสเธติคส์ จำกัดในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ พร้อมเตรียมยังโรงพยาบาลในเครือฯ 3-4 แห่งในปีนี้ ได้แก่ รพ.พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ, รพ.พริ้นซ์ ปากน้ำโพ, รพ.พิษณุเวช และรพ.พริ้นซ์ อุบลราชธานี เป็นต้น

อย่างไรก็ตามจากผลประกอบการงวดไตรมาสแรกจะเติบโตอย่างโดดเด่น แต่บริษัทฯ ยังคงกำหนดเป้าหมายการเติบโตแบบอนุรักษ์นิยม คาดหมายรายได้ในปีนี้จะเติบโตระดับ 20-25% จากปี 2564 ที่มีรายได้รวม 5,059 ล้านบาท เนื่องจากประเมินสถานการณ์โควิด-19 น่าจะเริ่มคลี่คลายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และด้วยสภาพเศรษฐกิจอาจชะลอตัวจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูง อาจกระทบต่อการบริโภคของประชาชน

ทั้งนี้ จากปณิธานในการเป็นองค์กรที่พัฒนาคนให้มีจิตใจของความเป็นผู้ให้ที่จะร่วมดูแลทั้งในด้านการสาธารณสุขรวมทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแนวทาง ESG ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการพัฒนาไปสู่โรงพยาบาลยั่งยืน (Sustainable hospital) ในปี 2566 โดยร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและพันธมิตรในหลายองค์กร ผลักดันกระบวนการการสร้างการมีส่วนร่วมในการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการพัฒนาอย่างยังยืน

 

@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp