มิติหุ้น – ทิศทางราคาอาหารโลกถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลังเกิดสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ทำให้ต้นทุนราคาพลังงาน ปุ๋ย และอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น จึงหนุนให้ราคาอาหารพุ่งขึ้นสูงตามไปด้วย และเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อเนื่องให้เกิดวิกฤตขาดแคลนอาหาร จนทำให้ปัจจุบันหลายประเทศใช้นโยบาย Food Protectionism เพื่อปกป้องการบริโภคและรักษาระดับราคาอาหารในประเทศ จึงมีคำถามที่น่าสนใจว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลต่อไทยอย่างไร และไทยควรปรับตัวอย่างไร
สถานการณ์ราคาอาหารโลกในช่วงวิกฤตรัสเซียยูเครนเป็นอย่างไร?
ราคาอาหารโลกยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนจากข้อมูลขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO ที่พบว่าดัชนีราคาอาหาร (Food Price Index) ในเดือนพฤษภาคม 2022 อยู่ที่ 157.36 หรือเพิ่มขึ้น 22.8%YoY โดยเฉพาะในกลุ่มพืชน้ำมันที่มีดัชนีราคาอยู่ที่ 229.25 หรือเพิ่มขึ้นสูงถึง 31.1%YoY รองลงมาคือ ดัชนีราคาในกลุ่มธัญพืชที่มีค่าอยู่ที่ 173.41 หรือเพิ่มขึ้น 29.7%YoY
Food Protectionism คืออะไร สถานการณ์ล่าสุดเป็นอย่างไร?
Food Protectionism คือ แนวคิดการจำกัดการส่งออกเพื่อปกป้องความเพียงพอของอาหารภายในประเทศ และรักษาเสถียรภาพของราคาอาหารภายในประเทศ จะเห็นได้ว่าผลกระทบจากวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครนได้ทำให้มีประเทศที่งดการส่งออกสินค้าอาหารเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยล่าสุดมีจำนวน 20 ประเทศที่งดการส่งออกสินค้าอาหารและปัจจัยการผลิตที่สำคัญ เพื่อปกป้องการบริโภคในประเทศ เนื่องจากราคาสินค้าเริ่มมีการปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในหมวดสินค้า ข้าวสาลี และน้ำมันปรุงอาหาร
ขณะที่ Food Protectionism รอบนี้รุนแรงกว่าวิกฤตอาหารในปี 2008 และวิกฤตการระบาดของ Covid-19 ในปี 2020 โดยจากรูปที่ 2 จะเห็นได้ว่าวิกฤตสงครามรัสเซียและยูเครนในปี 2022 มีสัดส่วนปริมาณการค้าโลกในรูปของแคลอรี่ที่ได้รับผลกระทบจากการจำกัดการส่งออกอยู่ที่ประมาณ 18% ของปริมาณการค้าโลกในรูปของแคลอรี่ที่ได้รับจากอาหารทั้งหมด โดยเฉพาะอาหารในกลุ่มธัญพืช และ น้ำมันปรุงอาหาร ซึ่งสูงกว่าในช่วงวิกฤตอาหารปี 2008 และในช่วงการระบาดของ Covid-19 ในปี 2020 ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 12% และ 5% ของปริมาณการค้าโลกในรูปของแคลอรี่ที่ได้รับจากอาหาร ตามลำดับ
วิกฤตขาดแคลนอาหาร จนทำให้ปัจจุบันหลายประเทศเริ่มใช้นโยบาย Food Protectionism จะส่งผลต่อไทยอย่างไร?
ระยะสั้น
โอกาสที่ไทยจะเกิดปัญหาขาดแคลนอาหารมีน้อย เนื่องจากความต้องการบริโภคสินค้าอาหารและวัตถุดิบกลุ่มสำคัญยังน้อยกว่าผลผลิตที่ผลิตได้ในประเทศ สะท้อนจากสัดส่วนความต้องการบริโภคในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ราว 25-90% ของผลผลิตในประเทศ เช่นเดียวกับอัตราส่วนสต็อกต่อความต้องการใช้ในประเทศของสินค้าอาหารสำคัญส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังสูงหรือใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต (รูปที่ 3)
ทั้งนี้ แม้ว่าอาจเป็นโอกาสของไทยในการส่งออกอาหารบางชนิดเพิ่มขึ้น เช่น สินค้าปศุสัตว์ แต่ต้นทุนการผลิตที่โน้มสูงขึ้น ก็อาจลดทอนโอกาสที่มี เช่น การผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งต้องใช้กากถั่วเหลือง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นวัตถุดิบในการผลิต โดยผู้ประกอบการผลิตอาหารสัตว์ของไทยมีต้นทุนที่เป็นการนำเข้าวัตถุดิบถึง 80% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด รวมทั้งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังผู้เลี้ยงสัตว์ เนื่องจากอาหารสัตว์คิดเป็นต้นทุนถึงร้อยละ 60-70% ของต้นทุนรวม ทำให้ราคาจำหน่ายเนื้อสัตว์มีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าปศุสัตว์ โดยเฉพาะไก่เนื้อ ซึ่งพึ่งพาการส่งออกถึง 60% ของปริมาณการผลิตทั้งหมดของไทย
ในระยะกลาง-ยาว
วิกฤตสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน จะเป็นปัจจัยเร่งให้ผู้นำสินค้าเกษตรให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลผลิตสินค้าเกษตรในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า เพื่อความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดสินค้าเกษตรโลก โดยปัจจุบันหลายประเทศมีแผนผลักดันในการเพิ่มผลผลิตสินค้าเกษตรให้เพียงพอกับความต้องการบริโภคในประเทศ เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารมากขึ้น เช่น จีนที่มีนโยบายปรับเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเอง (Self Sufficiency) ซึ่งจะส่งผลให้จีนมีความต้องการนำเข้าอาหารลดลง โดยปัจจุบันประเทศจีนได้เริ่มให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรต่อไร่มากขึ้น โดยเฉพาะข้าวที่จีนมีการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีผลผลิตต่อไร่สูงถึง 3,600 กิโลกรัม ทำให้ผลผลิตข้าวของจีนโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 1,099 กิโลกรัม/ไร่ ในปี 2016 เป็น 1,136 กิโลกรัม/ไร่ ในปี 2022 และคาดว่าในปี 2025 ผลผลิตข้าวจีนจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,277 กิโลกรัม/ไร่ (รูปที่ 4) ทำให้ในระยะต่อไปจีนจะมีผลผลิตข้าวมากจนเพียงพอสำหรับการบริโภคในประเทศ และลดการพึ่งพาการนำเข้าข้าวลงชัดเจน กระทบการส่งออกข้าวขาวของไทยซึ่งพึ่งพาตลาดจีนเป็นตลาดหลัก อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายของผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่อย่างจีน โดยเพิ่มการผลิตข้าวเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร จะทำให้ตลาดค้าข้าวโลกแข่งขันรุนแรงขึ้น และกระทบกับความสามารถในการแข่งขันการส่งออกข้าวไทยซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าคู่แข่งอยู่แล้ว หรือประเทศอิหร่าน ที่ได้ออกมาประกาศยืนยันที่จะเดินหน้าโครงการปลูกพืชเกษตร เพื่อหาแหล่งผลิตทดแทนสินค้าเกษตรที่อิหร่านขาดแคลน และมีศักยภาพในการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มศักยภาพความมั่นคงทางด้านอาหารควบคู่ไปกับการลดรายจ่ายในการนำเข้าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศ เช่น ข้าว พืชที่สกัดทำน้ำมัน และธัญพืชที่ใช้เป็นอาหารสัตว์ เป็นต้น
@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp