มิติหุ้น – นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยยังคงแกว่งตัวในลักษณะ Sideway Down โดยตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลว่าเฟดอาจเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และความกังวลเศรษฐกิจถดถอย โดยล่าสุดทาง FedWatch Tool ของ CME Group ให้ข้อมูลว่านักลงทุนให้น้ำหนักเพียง 30% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (FED Fund Rate) 1.00% ลดลงจากระดับกว่า 80% ในสัปดาห์ที่แล้ว และให้น้ำหนัก 70% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (FED Fund Rate) 0.75% หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
อีกทั้งทางผู้ว่าการธนาคารกลางฟินแลนด์ได้มีการเปิดเผยว่า ECB มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในการประชุมวันที่ 21 ก.ค. และปรับขึ้นอีก 0.50% ในเดือนก.ย. ประกอบราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวลงจากความกังวลที่จีนหวนล็อกดาวน์หลังติดเชื้อโควิดพุ่ง ซึ่งทางรัฐบาลมาเก๊าจะขยายเวลาล็อกดาวน์ต่อไปจนถึงวันศุกร์ที่ 22 ก.ค. จากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันจันทร์ที่ 18 ก.ค. ซึ่งเป็นการสั่งปิดบ่อนคาสิโนทั้งหมดเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ดังนั้นจึงคาดการณ์ GDP ของประเทศจีนปี 65 มีแนวโน้มเติบโตลดลงจากเดิม หลัง GDP 2Q65 ขยายตัวเพียง 0.4%YoY ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 1.5%YoY ในช่วง 1H65 GDP เติบโตเพียง 2.5% เนื่องจากจีนล็อกดาวน์เมืองสำคัญในเดือนมี.ค.-เม.ย. 65 หลังมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เร่งตัวสูงขึ้น จึงคาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,500-1,550 จุด
ส่วนปัจจัยในประเทศที่ยังคงต้องจับตาต่อเนื่อง อาทิ อภิปรายไม่ไว้วางใจระหว่าง 19-22 ก.ค. ซึ่งมีกำหนดลงมติ 23 ก.ค. การประกาศผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มธนาคารงวดไตรมาส 2/2565 และ ครึ่งปีแรก 2565 ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศ อาทิ อียู รายงานอัตราเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. สหรัฐ รายงานการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนมิ.ย. ธนาคารกลางจีนกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR สหรัฐ รายงานยอดขายบ้านมือสองเดือนมิ.ย. สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ ธนาคารกลางญี่ปุ่ น (BOJ) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FED)เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์สำหรับการลงทุนใน 3 กลุ่มเด่น ได้แก่ หุ้นส่งออกซึ่งได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่อง 10%YTD สู่ 36.59 บาทต่อดอลลาร์เป็นตัวหนุนต่อรายได้และการทำกำไรของกลุ่มส่งออกปรับตัวดีขึ้น โดยหุ้นที่น่าลงทุนได้แก่ GFPT, TFG, CPF และ CFRESH ส่วนกลุ่มที่ 2 หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ได้แก่ KBANK, SCB และ BLA และกลุ่มที่ 3 หุ้น Defensive ซึ่งมีรายได้สม่ำเสมอมีความสัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจต่ำ ได้แก่ TTW, EGCO, GPSC, BGRIM และ GULF
ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำยังคงต้องจับตาตัวเลขดัชนีจัดซื้อทั้งภาคการผลิตและบริการจะอ่อนตัวลงหลุดระดับ 50 หรือไม่ หากอ่อนตัวหลุดระดับดังกล่าวจะเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย อีกทั้งหากตลาดเริ่มรับข่าวการที่เฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยที่ 1.0% อาจหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 3.0% จะเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำในระยะถัดไป
ฝ่ายวิจัยประเมินว่าราคาทองคำอาจ Sideway down เนื่องจากยังมีปัจจัยกดดันรออยู่ข้างหน้า คือผลการประชุม FOMC ในวันที่ 27 กรกฎาคม ฉะนั้นราคาทองคำอาจซื้อขายในกรอบ 1,670-1,730$/oz คำแนะนำระวังความผันผวน โดยซื้อขายในกรอบที่ให้ไว้
@mitihoonwealth