มิติหุ้น – บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกาศความสำเร็จในการลงนามสัญญาเพื่อเข้าซื้อสินทรัพย์โรงไฟฟ้า ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ พร้อมระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ มูลค่าการลงทุน 605 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเทียบเท่าประมาณ 21,470.42 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2565 บริษัท อาร์เอช อินเตอร์เนชั่นแนล (สิงคโปร์) คอร์ปอเรชั่น จำกัด (“RHIS”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของบริษัทฯ ในสาธารณรัฐสิงคโปร์ ได้ลงนามสัญญาซื้อขายหุ้นกับกลุ่มบริษัทในเครือของ Denham Capital Management LP (“Denham”) และ Nexif Energy Management Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Nexif Pte. Ltd. (“Nexif”) เพื่อเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ Nexif Energy Holdings B.V. และ NXF Holdings 2 Limited โดยทั้งสองบริษัทเป็นผู้ถือสินทรัพย์โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน โรงไฟฟ้ากังหันก๊าซ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม และระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ ตั้งอยู่ในประเทศไทย เครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ทั้งที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างรวมถึงระหว่างการพัฒนา รวมจำนวน 24 โครงการ พร้อมกันนี้ บริษัทฯ และเน็กส์ซิฟ ยังตกลงที่จะร่วมกันจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) เพื่อร่วมกันบริหารสินทรัพย์ประเภทโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และต่อยอดขยายการลงทุนโครงการใหม่ในอนาคตด้วย
นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายการเติบโตของธุรกิจหลักคือธุรกิจไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการเข้าลงทุนครั้งนี้จะเร่งทำให้บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายกำลังผลิต 10,000 เมกะวัตต์ได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกันช่วยเร่งผลักดันกำลังการผลิตพลังงานทดแทนให้ถึงเป้าหมายร้อยละ 25 ในปี 2568 เพราะพอร์ตการลงทุนดังกล่าวเกือบทั้งหมดเป็นโครงการด้านพลังงานทดแทน ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานลมทั้งบนบกและในทะเลจำนวน 12 แห่ง โครงการพลังงานน้ำ 3 แห่ง โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 3 แห่ง นอกจากนั้นยังมีโครงการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ 4 โครงการ และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติอีก 2 แห่ง การลงทุนครั้งนี้บริษัทฯ จะรับรู้กำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ซึ่งประมาณ 900 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่สร้างรายได้แล้วและมีเป้าหมายการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในอีก 3 ปีข้างหน้า ที่สำคัญยังเปิดโอกาสให้บริษัทฯ เข้าสู่ธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มธุรกิจพลังงานทดแทน และขยายฐานธุรกิจต่างประเทศทั้งในออสเตรเลีย เวียดนาม รวมทั้งเปิดฐานลงทุนใหม่ในประเทศฟิลิปปินส์ ด้วย
“ภายหลังธุรกรรมนี้เสร็จสมบูรณ์ บริษัทฯ จะรับรู้กำลังการผลิตเชิงพาณิชย์ที่สร้างรายได้ทันที 450 เมกะวัตต์จากโครงการพลังงานลมและโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในออสเตรเลีย โครงการพลังงานน้ำในเวียดนาม และโรงไฟฟ้าเน็กส์ซิฟ ราช เอ็นเนอร์จี ระยอง ซึ่งทั้ง 4 โครงการ บริษัทฯ จะถือหุ้นทั้งหมด สำหรับโครงการที่เหลือกำหนดจะทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2566-2570 ส่วนเงินลงทุนในธุรกรรมดังกล่าวบริษัทฯ จะใช้จากเงินทุนของบริษัทฯ และเงินกู้จากสถาบันการเงิน โดยบริษัทฯ ได้จัดเตรียมไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า การตัดสินใจลงทุนครั้งนี้จะช่วยผลักดันบริษัทฯ ให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน และขับเคลื่อนไปสู่ความมุ่งหมายที่จะเป็นกลางทางคาร์บอนได้ด้วยเช่นกัน” นางสาวชูศรี กล่าว
ความสำเร็จของธุรกรรมดังกล่าว บริษัทฯ จะรับรู้กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ส่งผลให้กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์สร้างรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 7,842 เมกะวัตต์ สำหรับสัดส่วนกำลังการผลิตพลังงานทดแทนจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 (2,128 เมกะวัตต์) ของกำลังการผลิตรวม
อนึ่ง Denham เป็นบริษัทลงทุนชั้นนำด้านธุรกิจพลังงาน ได้เข้ามาเป็นผู้ลงทุนหลักใน Nexif Energy ตั้งแต่ปี 2558 ส่วน Nexif เป็นบริษัทชั้นนำผู้พัฒนาโครงการและดำเนินธุรกิจด้านพลังงานและสาธารณูปโภคในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
@mitihoonwealth