มิติหุ้น – นายภูวสิษฏ์ วงษ์เจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพีแอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CPL เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ทิศทางของธุรกิจฟอกหนังซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ CPL ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยสินค้าของบริษัทฯ เป็นสินค้าที่ผลิตเพื่อส่งออกให้กับลูกค้าที่เป็นแบรนด์รองเท้าชั้นนำในต่างประเทศเกือบ 100% ดังนั้น จึงได้รับผลดีจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นและส่งผลให้กำลังการผลิตในโรงงานขณะนี้เกือบจะเต็ม 100% แล้ว
ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนแรก (มกราคมถึงมิถุนายน 2565) บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายหนังสำเร็จรูป (Finishing) อยู่ที่ 942 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 570 ล้านบาทในปีก่อน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 65.26% ขณะที่รายได้จากธุรกิจฟอกหนัง (Tanning) อยู่ที่ 92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 82 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 12.19% และรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายรองเท้านิรภัยและอุปกรณ์นิรภัย (เซฟตี้โปรดักส์) อยู่ที่ 323 ล้านบาท ลดลง 4.15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้ 337 ล้านบาท
“ในส่วนของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับหนัง ทั้งผลิตและจำหน่ายหนังสำเร็จรูป และฟอกหนัง มีแนวโน้มที่ดีขึ้นชัดเจน แต่ก็ต้องยอมรับว่า ยังมีความท้าทายอีกมาก โดยเฉพาะด้านต้นทุนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาวัตถุดิบ ทั้งหนังดิบ รวมถึงต้นทุนเคมี และค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนโดยรวมเพิ่มขึ้น 25-35% ซึ่งในส่วนนี้ บริษัทฯ ยังคงมีนโยบายควบคุมต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 36-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และมีแนวโน้มอ่อนค่าจนถึงปลายปีนี้ ซึ่งส่งผลกับรายได้ส่งออกโดยตรง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CPL กล่าว
ขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่กลับมาดำเนินการได้ตามปกติมากขึ้น ทำให้ยอดขายรองเท้านิรภัย ซึ่งเป็นสินค้าฮีโร่ในธุรกิจเซฟตี้โปรดักส์ภายใต้แบรนด์ “แพงโกลิน” ของ CPL กลับมาเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยในเดือนสิงหาคม 2565 รายได้จากการขายรองเท้าเซฟตี้ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 69% และเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 จากการที่โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ กลับมาเดินเครื่องผลิตได้เพิ่มขึ้น รวมถึงไซต์งานก่อสร้างต่างๆ ที่กลับมาทำงานได้ตามปกติ และมีความต้องการใช้รองเท้านิรภัยสำหรับการทำงานเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งเชื่อว่าแนวโน้มดังกล่าวจะต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และจะผลักดันให้ยอดขายสินค้าเซฟตี้ของ CPL กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง หลังจากที่ประสบปัญหาซบเซาในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
สำหรับการขยายธุรกิจเซฟตี้โปรดักส์ของ CPL หลังจากนี้ จะมุ่งเน้นสร้าง “ระบบความปลอดภัย” ผ่านซอฟแวร์ที่เรียกว่า สมาร์ท เซ้นส์ (Smart Sense) เพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรมไปสู่ Industrial 4.0 โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะเป็นกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งผลิตภัณฑ์ SMART Sense จะสามารถยกระดับโรงงานให้เป็น “สมาร์ท แฟคตอรี่” (SMART Factory) และยกระดับเครื่องจักรในโรงงานให้เป็น Machine Safety ทำให้มิติของความปลอดภัยเปลี่ยนไป ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายจะสะท้อนผ่านความคุ้มค่าของต้นทุนผลิตที่ลดลง จากระบบ SMART Sense ที่ทำหน้าที่ดูแลการผลิตให้มีประสิทธิภาพผ่านระบบอัจฉริยะ ซึ่งเป็นหมุดหมายใหม่ของ CPL และแพงโกลิน ด้วยกลยุทธ์ PANGOLIN SAFETY in 1 ทั้งสินค้าและบริการทุกอย่างครบ จบในที่เดียว
@mitihoonwealth