เริ่มกลับมากังวลกันอีกครั้งสำหรับแนวโน้มเศรษกิจถดถอย (Recession) ในหลายประเทศทั่วโลก หลังธนาคารกลางหลายแห่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับเงินเฟ้อ และ Fed คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 4.4% GDP เติบโตขึ้น 0.2% และ PCE อยู่ที่ 5.4% ในช่วงสิ้นปี 2565 จึงสร้างความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ อยู่ที่ 50% ในยุโรปที่ 72.5% ในสหราชอาณาจักรที่ 60% ในเยอรมันที่ 77.5% ในอิตาลีที่ 75% และในไทยที่ 15%
ฝ่ายวิจัยของ บล.กสิกรไทยจึงแนะลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นลงเล็กน้อยจากปัจจัยเสี่ยงเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยและสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ พร้อมลดน้ำหนักการลงทุนใน ตราสารหนี้ลงเล็กน้อยเนื่องจากธนาคารกลางหลายแห่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ยังคงมุมมองกลางต่อทรัพย์สินทางเลือกสำหรับการป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน
แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นจีน–ไทย
ขณะที่ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส แนะเพิ่มการลงทุนในเงินสดเป็นให้เพิ่มน้ำหนักมากขึ้น จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางและความกังวลที่จะเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ลดน้ำหนักการลงทุนในทรัพย์สินตราสารหนี้ลงเล็กน้อย คาดอัตราดอกเบี้ยจะสูงกว่าปัจจุบันเล็กน้อยลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นลงเล็กน้อย จากความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยโดยเฉพาะในสหรัฐฯและยุโรป เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในประเทศจีนและไทยเล็กน้อยคงมุมมองเป็นกลางต่อทองคำและกอง REITs จากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งแกร่งและการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ชูกลุ่ม Healthcare เป็นหุ้น Defensive
นอกจากนี้ยังพบว่ามีหุ้นบางกลุ่มที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาด นั่นก็คือ หุ้นในกลุ่ม Defensive อย่าง Healthcare สะท้อนผ่านดัชนี Health Care Select Sector ที่ผ่านมาปรับลดลงเพียง 12% YTD เท่านั้นถือว่าปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดโดยรวม จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความผันผวนของพอร์ตในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือมีความผันผวนสูง
นอกจากกลุ่ม Healthcare แล้วก็คือการลงทุนผ่าน ETF ได้แก่ Health Care Select Sector SPDR®Fund (XLV US) ซึ่งกระจายการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ สัญญาชาติอเมริกา ผู้ผลิตยา อุปกรณ์การแพทย์รวมถึงผู้ให้บริการทางการแพทย์และสุขภาพและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง จำนวน 66 บริษัท เช่น United Health (UNH US) เป็นต้น
ส่วนใครที่ยังไม่ถนัดลงทุนเองหรือไม่มีเวลาก็ควรลงทุนผ่านกองทุน ซึ่ง บล.กสิกรไทยก็มี 8 กองทุนเด็ดๆมากนำเสนอ แบ่งเป็น กองทุนที่มีนโยบายสนับสนุน ได้แก่ K-CHANGE(ลงทุนหุ้นทั่วโลก)จากธีม ESG และหุ้นที่มีคุณภาพเติบโตสูง และ K-CLIMATE (ลงทุนหุ้นทั่วโลก) จากธีมการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศซึ่งมีปัจจัยหนุนจากผู้กำหนดนโยบายเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
กองทุนที่มีค่าสหสัมพันธ์ต่ำ ได้แก่ K-STEQ (ลงทุนหุ้นไทย) จาก 1.มีความสัมพันธ์กับตลาดโลกต่ำ 2.รับผลดีเปิดประเทศเต็มสูบ และ 3. จำนวนนักท่องเที่ยวที่มากกว่าคาด และกอง K-VIETNAM (ลงทุนนหุ้นเวียดนาม) จาก 1.มีความสัมพันธ์กับตลาดโลกต่ำ 2.มีการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ 3.การย้ายฐานการผลิตจากจีน และ 4.การขยายตัวของสังคมเมือง
กองทุนในประเทศจีน ได้แก่ K-CHINA (Chaina tech, H-Shares, A- Shares) และ K-CCTV (กองทุนอิงวัฏจักรของจีน) เนื่องจาก 1.การเปิดประเทศฮ่องกง 2.มูลค่าหุ้นที่ไม่แพง 3.การผ่อนคลายนโยบายการเงิน และ 4.ความคาดหวังที่จะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังการประชุมพรรคครั้งที่ 20
กองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก K-GOLD (SPDR Gold Trust) และแนะนำให้สะสมเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อภาวะเศรษฐกิจถดถอย ตลาดหุ้นอ่อนตัวลงและสงคราม นอกจากนี้ยังชอบกองทุน K-PROPI (กอง REITs ในประเทศไทยและสิงคโปร์) จาก 1.รายได้ที่ต่อเนื่องจากค่าเช่า 2.การเปิดประเทศเต็มรูปแบบ และ 3.โอกาสขึ้นค่าเช่าตามเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp