มิติหุ้น – โดยปกติแล้วคนทั่วไปมักจะมองว่าการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่จะสร้างผลกระทบเชิงลบต่อประเทศ ประเทศจะมีผู้สูงวัยจำนวนมาก ซึ่งผู้สูงวัยเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่มีรายได้เพราะอายุเกินที่จะทำงาน มีสุขภาพที่ไม่ดี เต็มไปด้วยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในด้านการรักษาพยาบาล เป็นการเอาเงินเก็บ (ถ้ามี) ไปให้หมอ
แต่ผู้เขียนเชื่อว่าอนาคตของการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทยสามารถสดใสได้มากกว่านี้ และไม่แน่ การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทยอาจเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศก็เป็นได้ ในบทความนี้ผู้เขียนขอนำเสนอแนวคิดใหม่ 2 แนวคิด ซึ่งหากนำ 2 แนวคิดนี้มารวมกัน ผู้เขียนเชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งสำคัญที่จะ “สะกิดใจ”ให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างทรงพลัง
แนวคิดที่ 1: การปันผลทางประชากรระยะที่สาม (The Third Demographic Dividend)
การปันผลทางประชากรระยะที่สามเป็นแนวคิดใหม่ที่องค์การสหประชาชาตินำเสนอขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ และเป็นแนวคิดสำคัญสำหรับการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่สังคมสูงวัย ถ้าเรามองการเข้าสู่สังคมสูงวัยในอีกมุมหนึ่ง โดยในมุมนี้เมื่อประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยในระยะสูงสุด ประเทศจะมีผู้สูงวัยเป็นจำนวนมากและผู้สูงวัยเหล่านี้จะมีจำนวนมากกว่าหนึ่งในสามของจำนวนประชากรในประเทศ หากเราเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนมุมมองไปจากเดิม โดยมองว่าผู้สูงวัยสามารถเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าให้กับประเทศ และอาจเป็นทรัพยากรหลักที่ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้ ผู้สูงวัยสามารถเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของประเทศได้ด้วยสาเหตุ 3 ประการ ประการแรกมีอาชีพจำนวนไม่น้อยที่ผู้ประกอบอาชีพจะมีทักษะเพิ่มขึ้นตามอายุ ตัวอย่างที่สำคัญเช่น อาชีพที่เน้นทักษะด้านการสื่อสารอาทิ ครู อาจารย์ นักขาย นักกฎหมาย และผู้จัดการ ดังนั้นถ้าผู้สูงวัยจำนวนหนึ่งที่ประกอบอาชีพเหล่านี้อยู่แล้วสามารถประกอบอาชีพเหล่านี้ต่อไปได้ หรือผู้สูงวัยในอาชีพอื่นสามารถได้รับการพัฒนาทักษะใหม่ (New Skills) และประกอบอาชีพที่ทักษะเพิ่มขึ้นตามอายุ จำนวนและผลิตภาพแรงงานในประเทศอาจจะเพิ่มขึ้น (หรือไม่ลดลงอย่างรุนแรง) และเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศได้ ประการที่สอง แม้ว่าเป็นความจริงที่ต้องยอมรับว่าบางอาชีพ โดยเฉพาะอาชีพที่เน้นการใช้ร่างกาย ความจำ หรือความรวดเร็วในการทำงาน อาชีพเหล่านี้เป็นอาชีพที่ทักษะจะลดลงตามอายุ แต่ทว่าในปัจจุบันการพัฒนาทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีอุบัติใหม่ (Emerging Technologies) หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เทคโนโลยีการควบคุมหุ่นยนต์จากระยะไกล หรือเทคโนโลยีโลกเสมือน (Virtual Reality) ต่างก็เป็นเทคโนโลยีที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ และทำให้ผู้ประกอบอาชีพที่ทักษะอาจเคยลดลงตามอายุ มีทักษะที่เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมก็เป็นได้ ดังนั้นถ้าผู้สูงวัยที่ประกอบอาชีพที่ทักษะลดลงตามอายุ สามารถได้รับการพัฒนาทักษะใหม่ (New Skills) ในด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอุบัติใหม่ที่กล่าวไปข้างต้น จำนวนและผลิตภาพแรงงานในประเทศอาจเพิ่มขึ้น (หรือไม่ลดลงอย่างรุนแรง) และเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศได้ ประการที่สาม ผู้สูงวัยเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ มีความรู้ และมีเวลา จึงสามารถมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาทางสังคมด้วยการเข้าร่วมเป็นจิตอาสาในโครงการต่าง ๆ ในด้านที่ผู้สูงวัยแต่ละคนมีประสบการณ์และมีความรู้ ไม่ว่าจะเป็น โครงการสอนหนังสือให้กับผู้ยากไร้หรือผู้พิการ โครงการด้านการพัฒนาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม โครงการช่วยเหลือสัตว์ที่พิการ หรือโครงการด้านศาสนาและวัฒนธรรม
แนวคิดที่ 2: การ “สะกิดใจ” ให้คนไทยเป็นผู้สูงวัยที่มีสุขภาพดี (Nudging for Healthy Aging)
การปันผลทางประชากรระยะที่สามที่กล่าวไปข้างต้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าคนไทยเป็นผู้สูงวัยที่สุขภาพไม่ดี ดังนั้นการเตรียมพร้อมให้คนไทยเป็นผู้สูงวัยที่มีสุขภาพดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่การเตรียมพร้อมให้คนไทยเป็นผู้สูงวัยที่มีสุขภาพดีเป็นเรื่องที่ “พูดง่าย แต่ทำยาก” โดยทั่วไปเรามักจะคิดว่าการส่งเสริมให้คนในครอบครัว คนในองค์กร หรือประชาชนในประเทศมีสุขภาพที่ดี สิ่งแรก สิ่งเดียว และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องทำคือการให้ข้อมูล ให้ความรู้ว่าควรมีพฤติกรรมอย่างไรเพื่อให้มีสุขภาพดี เช่นให้คำแนะนำว่าควรทานอาหารอย่างไร ควรออกกำลังกายอย่างไร หรือควรป้องกันโรคต่าง ๆ อย่างไรเป็นต้น แน่นอนว่าคำแนะนำเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งส่วนมากจะอ้างอิงมาจากการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ที่ถูกพิสูจน์และเป็นที่ยอมรับแล้วว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ในความเป็นจริง ผู้คนจำนวนมากที่ไม่ทำ หรือไม่สามารถทำตามคำแนะนำเหล่านี้ได้ “ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว” ว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของตนเองในปัจจุบันและในอนาคต
ในแนวคิดที่สองนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าเราสามารถเพิ่มทางเลือกเพิ่มเติมจากจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเพื่อเตรียมความพร้อมให้คนไทยเป็นผู้สูงวัยที่มีสุขภาพดี งานวิจัยจำนวนมากในเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (Behavioral Economics) พบว่าการให้ข้อมูลเพียงอย่างเดียวเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างน้อย เพราะคนส่วนมากติดกับดักหรืออุปสรรคทางความคิด (Cognitive Biases) ผู้เขียนเชื่อว่าวิธีการที่เหมาะสมคือการใช้การ “สะกิดใจ” (Nudging) ที่เป็นแนวคิดที่ถูกบุกเบิกโดย ศาสตราจารย์ ริชาร์ด เทลเลอร์ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาเศรษศาสตร์ ในปี ค.ศ. 2017 มาปรับใช้ ตัวอย่างเช่น คนจำนวนมากมักจะสั่งอาหารเวลาหิว ซึ่งจะทำให้สั่งอาหารเป็นจำนวนมาก สั่งอาหารที่เน้นความอร่อยโดยลืมความสำคัญทางโภชนาการหรือด้านสุขภาพไปโดยสิ้นเชิง (เพราะกำลังหิว) อย่างไรก็ดีงานวิจัยทางเศรษศาสตร์พฤติกรรมหลายชิ้นพบว่า ถ้าเราสั่งอาหาร “ล่วงหน้า” (ตอนไม่หิว) จะสามารถทำให้เราสั่งอาหารในปริมาณที่พอดี และให้ความสำคัญทางโภชนาการหรือด้านสุขภาพในอาหารที่เราจะสั่งได้มากขึ้น ดังนั้นถ้าภาครัฐ ร่วมมือกับแอพพลิเคชั่นสั่งอาหารชั้นนำที่คนใช้เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว ให้คูปองส่วนลดหรือคะแนนสะสมในกรณีที่ผู้ใช้สั่งอาหารล่วงหน้า หรือสั่งอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นการสะกิดใจ อาจเป็นการลงทุนที่มีคุณค่าและคุ้มค่าต่อประเทศในอนาคต อีกตัวอย่างหนึ่งเช่น คนจำนวนมากมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ตัวเองมีสุขภาพดีขึ้น โดยการสัญญากับตัวเองในวันปีใหม่ว่าปีนี้จะลดน้ำหนักให้ได้ หรือจะออกกำลังกายให้ได้อาทิตย์ละ 3 ครั้ง แต่ทว่างานวิจัยทางเศรษศาสตร์พฤติกรรมหลายชิ้นพบว่าคนจำนวนมากกลับทำไม่สำเร็จ โดยงานวิจัยพบว่าสิ่งที่สำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ใช่เพียงแค่ความตั้งใจหรือการสัญญากับตัวเองเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการมีแผนที่จะรับมือกับอุปสรรคต่าง ๆ ที่จะขัดขวางการทำให้สำเร็จ เช่นถ้าตั้งใจว่าจะลดน้ำหนักแต่เพื่อนที่ทำงานชวนไปทานบุฟเฟต์ เราจะรับมือกับอุปสรรคเช่นนี้อย่างไร เราอาจไม่ไปเพราะเราสั่งอาหารมาทานล่วงหน้าแล้ว หรือถ้าจำเป็นต้องไปเราจะรับมืออย่างไร สิ่งที่สำคัญคือเราไม่ควรจัดการกับอุปสรรค “ในขณะที่กำลังเผชิญกับอุปสรรค” แต่เราควรมีแผนในการจัดการกับอุปสรรคที่คาดเดาได้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะเกิดขึ้นเพราะเราจะรับมือกับอุปสรรคเหล่านี้ได้ดีกว่า
โดยสรุป การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทยสามารถเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศได้ แต่การที่ประเทศจะได้รับประโยชน์ที่ถูกเรียกว่าการปันผลทางประชากรระยะที่สามนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าคนไทยเป็นผู้สูงวัยที่สุขภาพไม่ดี แต่การเตรียมพร้อมให้คนไทยเป็นผู้สูงวัยที่มีสุขภาพดีเป็นสิ่งที่ “พูดง่าย แต่ทำยาก” การให้ข้อมูลเพียงอย่างเดียวเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างน้อย เพราะการให้ข้อมูลเพียงอย่างเดียวไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุของปัญหา ในทางกลับกันแนวคิดจากเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมสามารถนำมาปรับใช้ เพราะเป็นแนวคิดที่เชื่อว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ต้องอาศัยการเข้าใจ “ธรรมชาติ” ที่แท้จริงของการตัดสินใจของมนุษย์ และอาศัยธรรมชาตินี้ในการเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ “อย่างเป็นธรรมชาติ”
@mitihoonwealth