มิติหุ้น – GULF โดย บล.พายระบุว่า คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/22 ที่ 1.1 พันล้านบาท (-30% YoY, -27% 000) ฉุดลดลงจากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่บันทึก 1.2 พันล้านบาท หลังจากเงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง
คาดกำไรปกติของ GULF ลดลง 25% QoQ มาอยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท (+2% YoY) สืบเนื่องจากการดำเนินงานที่อ่อนแอจากโครงการโรงไฟฟ้า ขนาดใหญ่ (IPP) เพราะการจ่ายไฟฟ้าที่อ่อนแอ เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หันมาให้ความสำคัญกับเชื้อเพลิงดีเซล เป็นหลัก เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้น
คาดส่วนแบ่งกำไรลดลง 10% QoQ เหลือ 1.3 พันล้านบาท (แต่โต มากกว่า 100% YoY) สืบเนื่องจากส่วนแบ่งจาก PTTNGD ที่ลดลง และ ผลการดำเนินงานจาก GJP ที่ชะลอลง
คาดผลประกอบการไตรมาส 41/22 จะได้ประโยชน์จากการปรับเพิ่มค่า Gulf investment & Trading PTE. LTD. 7.48 FI และราคาการที่ลดลง พร้อมกับส่วนแบ่งกำไรเต็มไตรมาสจาก โครงการ GSRC เฟส 4 (662.5MW) ที่เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ในวันที่ 1 ต.ค. ขณะที่บริษัทให้แนวทางว่าราคาการเฉลี่ยจะลดลงต่ำ กว่า 500 บาท/MMBtuในไตรมาส 4/22 เทียบกับราว ๆ 550 บาท MMBtu (ยอดสูงเป็นประวัติการณ์) ในไตรมาส 3/22
โครงการร่วมทุน GULF-Jackson เป็น ส่วน 11% ของเป้าหมาย พอร์ตในปี 2023 (เทียบกับ 7% ต่อเป้าหมายปี 2027) โดยจะเริ่มรับรู้ ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการตั้งแต่ไตรมาส 1/23 เป็นต้นไป
ณ ปี 2022 บริษัทมีโครงการที่เดินเครื่องอยู่ 5.2GWe และอีก 3.5GWe ในแผนงานที่จะเริ่มเดินเครื่องในปี 2022-2027 หรือคิดเป็นการเติบโต ต่อปีที่ 11%
* เชื่อว่าบริษัทมีภาพรวมที่ดีในปี 2023 ด้วยการเติบโตของกำไรที่ 31% YoY หนุนจากการรับรู้กำไรเต็มปีจากโครงการ Jackson ขนาด 1.5GWe และการเริ่มเดินเครื่อง GSRC ในปี 2022 แม้ตัวโครงการมีภาพรวมกำไร ไม่ดีในไตรมาส 3/22 ก็ตาม
จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 62.0 บาท คำนวณด้วยวิธีรวมส่วน ธุรกิจ (SOTP) : 41x PE23E (เทียบค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 57 4 เท่า)
@mitihoonwealth
