WFX โชว์กำไร 9 เดือนแรกปี 65 แตะ 189.44 ลบ. โค้งสุดท้ายลุยตลาด End Users แอฟริกาและอเมริกาใต้-เร่งอัพกำลังผลิตเฟสสอง หนุนผลงานปี 65 สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง

84

มิติหุ้น  –  นายณัฐ วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด(มหาชน) (WFX) เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 189.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.64% จากงวดเดียวกันปีก่อน มีกำไรสุทธิ 188.24 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 2,819.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 2,583.52 ล้านบาท ขณะที่งวดไตรมาส 3/2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 681.45 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4.29 ล้านบาท

 

ปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น มาจากการขยายกำลังการผลิตในเฟสแรกที่เสร็จสมบูรณ์ตามแผน มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณการจำหน่ายสูงขึ้น ทำให้บริษัทฯ สามารถผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านขนาดและคุณภาพที่แตกต่างกันไป อีกทั้งบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าให้แก่กลุ่มลูกค้าประเภท End user เพิ่มขึ้นตามลำดับ

 

“ภาพรวมผลประกอบการรวม 9 เดือนของปีนี้ บริษัทฯ ยังสามารถทำผลงานได้ดี เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้น หลังรัฐบาลประกาศนโยบายเปิดประเทศ ส่งผลให้อุตสาหกรรมสิ่งทอเริ่มฟื้นตัว จากความต้องการยางยืดสำหรับสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม ที่มากขึ้น รวมทั้งอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่กลับมาฟื้นตัว ทำให้มีความต้องการสินค้าที่หลากหลายตอบรับกับแผนขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของเส้นด้ายยางยืดเคลือบแป้ง และเคลือบซิลิโคน ผลักดันยอดขายเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว” 

 

ทั้งนี้บริษัทฯ ได้เดินหน้าตามแผนบุกตลาดกลุ่มใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากประเทศจีน เช่น ประเทศในแถบเอเชีย ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย บังคลาเทศประเทศในแถบยุโรป ได้แก่ รัสเซีย ตุรเคีย อุซเบกิสถานประเทศในแถบอเมริกาใต้ ได้แก่ บราซิล เม็กซิโก โคลอมเบีย เปรู และยังมีแผนที่จะเปิดตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศแอฟริกา ได้แก่ อียิปต์ โมรอคโค อัลจีเรีย ตูนีเซีย เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 

 

เขากล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/65 คาดว่าจะเป็นช่วงที่บริษัทฯ จะกลับมาผลิตสินค้าได้ประสิทธิภาพการผลิต (Efficiency) ในระดับปกติ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลาย โดยมั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโต 10-15% จากปีก่อน สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นโดยในเฟสแรกที่เสร็จสมบูรณ์เป็นไปตามแผน ขณะที่เฟสที่สองจะเร่งให้แล้วเสร็จภายในปี 66 ส่งผลให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นทั้ง 2 เฟส รวมอยู่ที่ประมาณ 20-30% จากปัจจุบันอยู่ 36,000 ตันต่อปี เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาล่วงหน้าเป็นจำนวนมาก

@mitihoonwealth

https://lin.ee/cXAf0Dp