PACO เผยงบQ3/2565 รายได้โต 36% แตะ 260 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มเป็น 35 ล้านบาท

143

มิติหุ้น  –  นายสมชาย เลิศขจรกิตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) “PACO” ผู้นำด้านการผลิตชิ้นส่วนแอร์รถยนต์ชั้นนำของไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2565 ว่า “บริษัทฯ มีรายได้รวม 260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% และกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 9%เป็น 35 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 192 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 32 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุการเติบโตของรายได้รวมและกำไรสุทธิของ PACO ดีขึ้น ตามอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ และปริมาณรถยนต์ที่สะสมเพิ่มมากขึ้น รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวและกลับสู่การเติบโตอีกครั้ง สำหรับงบการเงินในงวด 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.65) มีรายได้อยู่ที่ 688 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19 % จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 578 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 80.4 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 92 ล้านบาท”

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนท์ PACO-W1) ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมทุกราย ในอัตรา 5 หุ้นเดิมต่อ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ และมีอัตราการใช้สิทธิแปลงใบสำคัญแสดงสิทธิเป็นหุ้นสามัญที่ราคา 3 บาท ทั้งนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินรองรับการขยายตัวของธุรกิจที่คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯกำหนดวันปิดสมุดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะได้รับสิทธิในวันที่ 23 ธันวาคม 2565 ”

“ PACO มุ่งเน้นการขยายทั้งธุรกิจเดิมคือ REM ตลาดอะไหล่ทดแทน (Aftermarket Parts) ซึ่งมีอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) ที่ดีเนื่องจากสามารถกำหนดราคาขายสินค้าได้เอง และมีการแข่งขันด้านราคาที่น้อยกว่า และ ธุรกิจใหม่คือ OEM ผลิตภัณฑ์แอร์รถยนต์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและมั่นคงให้บริษัทฯ ซึ่ง PACO ประสบความสำเร็จในการเซ็นต์สัญญากับลูกค้าใหญ่รายแรกคือ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่มุ่งเน้นรถยนต์ไฟฟ้า EV และ Plug-in Hybrid (PHEV)  ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง PACO ได้รับออเดอร์มูลค่าถึง 1,200 ล้านบาท ทำให้มีรายได้ที่มั่นคงรองรับกว่า 5 ปี สำหรับธุรกิจ OEM และ รองรับรายได้ 10 ปีสำหรับธุรกิจรับจ้างผลิตอะไหล่ (OES) ยิ่กว่านั้น บริษัทฯ ได้รับการติดต่อจากผู้ผลิตหลายแห่ง เพื่อนำเสนองานรับจ้างผลิตชิ้นส่วนแอร์รถยนต์และชิ้นส่วนอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ มองเห็นศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ OEM ที่ชัดเจน  มีโอกาสเติบโตสูง เนื่องจากอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวอีกครั้งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก PACO มีไลน์การผลิต อุปกรณ์เครื่องจักรมาตรฐานสากล พร้อมผลิตสินค้าให้ลูกค้าได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม อีกทั้งมีคู่แข่งน้อยรายในธุรกิจ จึงเชื่อมั่นว่า PACO มีโอกาสรับงานรับจ้างผลิต OEM ได้อีกจำนวนมาก”

ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีคำสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า (ออเดอร์) ยาวไปจนถึงกลางปี 2566 สำหรับรายได้ปีนี้คาดว่าจะเติบโตตามเป้าที่ 900 ล้านบาท หรือ 30% ตามที่ตั้งไว้ ทั้งนี้บริษัทฯ เตรียมขยายตลาดส่งออก ซึ่งปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ดี เนื่องจากธุรกิจ REM หรือ อะไหล่ทดแทน จะได้ประโยชน์จากสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ลูกค้าชะลอการซื้อรถใหม่ อีกทั้ง ปัญหาเรื่องการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ได้คลี่คลายลงอย่างมาก ทำให้บริษัทฯ สามารถส่งออกเพิ่มขึ้นได้ โดยบริษัทฯ มุ่งเน้น ตลาดตะวันออกกลาง สหรัฐอเมริกา และอาเซียน และในช่วงไตรมาส 3 นี้ บริษัทฯ ได้ปรับราคาสินค้าขึ้นเพื่อรักษาอัตรากำไรในไตรมาสที่ผ่านมา และราคาอลูมิเนียมทั่วโลกได้ปรับตัวลดลงมาตามลำดับ ทำให้กำไรสุทธิอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ PACO มุ่งมั่นที่จะขยายทั้งตลาดส่งออก และตลาดในประเทศ คาดว่าธุรกิจจะขยายตัวได้เติบโตจากครึ่งปีแรก โดยได้รับปัจจัยจากการที่บริษัทปรับราคาขายสินค้าขึ้นมาเพื่อให้สะท้อนต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งอลูมิเนียม เหล็ก น้ำมัน และพลาสติก ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยหนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมา”

            ส่วนในประเทศ PACO จะขยายเครือข่ายร้านอะไหล่แอร์รถยนต์ครบวงจร ภายใต้แบรนด์ PACO Auto Hub (พาโก้ ออโต้ ฮับ) เพื่อสร้างแบรนด์ PACO ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ในประเทศ เพื่อเพิ่มยอดขายในประเทศและเสริมความแข็งแกร่งด้านช่องทางการจำหน่ายสินค้า และสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ แบรนด์ของคนไทย โดยเราตั้งเป้าหมายที่ จะมีร้าน PACO Auto Hub จำนวน 300 สาขาภายในปีนี้ จากปัจจุบันได้เปิดไปแล้วกว่า 170 สาขา ทั่วประเทศ โดยภายในร้านจะจำหน่ายผลิตภัณฑ์ คอยล์ร้อนและคอยล์เย็นแบรนด์ PACO เป็นหลัก และมีสินค้าอื่นๆ อาทิเช่น ท่อน้ำยาแอร์ น้ำยาแอร์ เพื่อเป็นการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจรในที่เดียว (One-Stop Solution) บริษัทวางเป้าหมายการจำหน่ายสินค้าผ่าน PACO Auto Hub ในแง่ของการเข้ามาช่วยสนับสนุนรายได้จากตลาดในประเทศที่มีสัดส่วน 55% ของรายได้รวมในปี 65 ที่จะผลักดันให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยจะขยายสาขาอย่างต่อเนื่องให้ครบ 500 สาขาในอนาคต

ขณะที่แนวโน้มของตลาดรถยนต์ EV กำลังอยู่ในกระแสความนิยมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางสถานการณ์ราคาน้ำมันแพง ประกอบกับนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของรัฐบาล ที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็น 1 ในศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV Hub) ของเอเชีย ทำให้ผู้ผลิตรถ EV รายใหญ่จากทั่วโลกหลายรายพุ่งเป้าเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ PACO จะเข้าไปมีส่วนร่วมเต็มรูปแบบสำหรับอุตสาหกรรมรถ EV เนื่องจาก PACO เป็นผู้รับจ้างผลิตชิ้นส่วนแอร์รถยนต์ (OEM Manufacturer) ที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยี และมีประสบการณ์ในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า คือ  Battery cooler และ ชิ้นส่วนแอร์รถยนต์สำหรับรถไฟฟ้า (EV) แบบ BEV (Battery EV) และ PHEV (Plug-in Hybrid) ในรูปแบบอะไหล่ทดแทน (REM) เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศ”

            บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO มีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท ก่อตั้งมาแล้วกว่า 30 ปี เป็น 1 ในผู้บุกเบิกการผลิตชิ้นส่วนแอร์รถยนต์ของไทย และได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อะไหล่แอร์รถยนต์แบบครบวงจร ทั้ง คอยล์ร้อน และคอยล์เย็น สำหรับรถที่มียอดจำหน่ายปานกลางถึงสูง ทั้งรถญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกัน รวมมากถึง 2,600 รุ่น โดยบริษัทฯ มี โรงงานผลิต 3 แห่ง ตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร และศูนย์กระจายสินค้า 1 แห่ง ตั้งอยู่ในเขตบางบอน กรุงเทพมหานคร บริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 และได้จำหน่ายสินค้าภายในประเทศ และ ส่งออกไปทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป อเมริกาใต้ เอเชียและออสเตรเลีย”

@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp