ASIAN “อาหารสัตว์เลี้ยง-ทูน่า” ยังคงเติบโตตามเทรนด์ตลาด ปรับเป้ารายได้เพิ่มโต 22-23% ผลประกอบการ Q3 กำไร 243 ลบ. งวด 9 เดือนกำไร 756 ลบ.

55

มิติหุ้น  –  นายเอกกมล ประสพผลสุจริต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารแช่เยือกแข็ง ทูน่า อาหารสัตว์น้ำ และอาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้าและของตนเอง เปิดเผยว่าจากการคาดการณ์ภาพรวมปี 2565 ของกลุ่มบริษัทเอเชี่ยน ได้มีการปรับประมาณการรายได้เพิ่มขึ้นเป็นเติบโต 22-23% จากเดิมคาดว่าเติบโต 19% จากปีที่ผ่านมา โดยประมาณการเติบโตที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและธุรกิจทูน่า ซึ่งยังคงเติบโตต่อตามเทรนด์ของตลาด และคาดว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นทั้งปีประมาณ 18-19% ของรายได้จากการขายและบริการ
โดยคาดการณ์ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงในปี 2565 เป็นปีที่ยังคงมีการเติบโตจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก คาดว่าทั้งปีจะมีการเติบโตของยอดขายอยู่ที่ประมาณ 47-48% จากปีที่ผ่านมา มีเป้าหมายอยู่ที่ 6,200 ล้านบาท จากการส่งออก และการขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของบริษัท ประมาณการกำลังการผลิตถึงสิ้นปีรวมอยู่ที่ 42,000 ตัน พร้อมทั้งเตรียมขยายกำลังการผลิตเพิ่มปีหน้าตามแผน หลังบริษัทลูก คือ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ขณะที่ธุรกิจปลาทูน่า รายได้คาดว่าจะเติบโตราว 22% จากปีที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายรายได้ 1,000 ล้านบาท เนื่องจากยังคงมีความต้องการสูงจากประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง ถึงแม้ว่าต้นทุนปลาทูน่ายังคงสูงอยู่ ส่วนธุรกิจอาหารทะเลแช่เยือกแข็งคาดว่าอาจหดตัวลงราว 2% จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์กลุ่ม Value Added Product (VAP) ของตลาดสหรัฐอเมริกาชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งตลาดยุโรปที่ชะลอตัวเช่นกันจากต้นทุนพลังงาน ภาวะเงินเฟ้อ และความต้องการของกลุ่ม HORECA (Hotel, Restaurant and Catering) ยังจำกัด โดยคาดการณ์เป้าหมายรายได้ประมาณ 3,400 ล้านบาท
ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ ผลจากการปรับพอร์ตของลูกค้าและปัญหาคุณภาพอาหารสัตว์น้ำทั้งอาหารกุ้งและอาหารปลา คาดว่ารายได้จะลดลงราว 27% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 900 ล้านบาท โดยบริษัทฯ อยู่ในช่วงเวลาฟื้นฟู และสาธิตคุณภาพอาหารใหม่ให้แก่เกษตรกร รวมไปถึงการปรับปรุงทีมขายให้มีเสถียรภาพ
ล่าสุดบริษัทฯ ประกาศผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 (1 ม.ค.- 30 ก.ย.) มีกำไรสุทธิรวม 756 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายรวม 8,643 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 23% โดยมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 1,612  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200 ล้านบาท หรือ 14% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงอยู่ที่ 18.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 20.1% ของรายได้จากการขายและบริการ โดยสาเหตุหลักมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น และปริมาณขายของธุรกิจอาหารสัตว์น้ำที่ลดลง
โดยสัดส่วนยอดขายในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่มธุรกิจของบริษัท หรือคิดเป็นสัดส่วน 52% โดยเฉพาะอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกมีการเติบโตตามเทรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยม ที่ผู้เลี้ยงให้ความสนใจในคุณภาพอาหารสัตว์เลี้ยงมากขึ้น กลุ่มธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งมีสัดส่วน 32% กลุ่มธุรกิจทูน่า 9% และกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ 7%
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในงวดไตรมาส 3/2565 มีกำไรสุทธิ 243 ล้านบาท ลดลงราว 10.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 271 ล้านบาท จากกำไรขั้นต้นที่ลดลง และค่าใช้จ่ายทางภาษีที่เพิ่มขึ้น โดยมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 2,996 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.4 % เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 2,429 ล้านบาท รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและกลุ่มธุรกิจทูน่าเป็นหลัก

@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp