PTT คาดสรุปลงทุนโครงการผลิตก๊าซ LNG พร้อมรูปแบบนำเข้าจากแหล่งโมซัมบิกได้ปลายปีนี้

277

มิติหุ้น-PTT คาดสรุปลงทุนโครงการผลิตก๊าซ LNG พร้อมรูปแบบนำเข้าจากแหล่งโมซัมบิกได้ปลายปีนี้ เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ปลายปี2566 พร้อมปรับประมาณการราคาน้ำมันปีนี้เพิ่ม65-70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สนใจนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ามาจำหน่าย

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ปตท.หรือ PTT โดยนายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวถึงความคืบหน้าโครงนำเข้าและผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) ว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาการทำเทรดดิ้งธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ หลังจากจะสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการซื้อ LNG ปริมาณ 2.6 ล้านตันต่อปีจากแหล่งโมซัมบิก ซึ่งปัจจุบันรอความชัดเจนจากกระทรวงพลังงานว่าจะให้ LNG เข้าสู่ระบบ pool gas หรือไม่ ซึ่งหากรัฐบาลไม่ให้นำเข้าสู่ระบบ pool gas ปตท.ก็สามารถนำเข้ามาในรูปแบบเชิงพาณิชย์ (commercial) ได้

อย่างไรก็ตามแหล่งก๊าซธรรมชาติในโมซัมบิกคาดว่าบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของPTT จะสามารถตัดสินใจการลงทุนขั้นสุดท้าย(FID) ได้ปลายปีนี้คาดว่าโครงการนี้จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2566 ด้วยกำลังการผลิตระยะแรกที่ 12 ล้านตันต่อปี

“ทางปตท.มองว่าความต้องการใช้ LNG ทั้งไทยและในภูมิภาคอาเซียนจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ก็มีโอกาสที่จะเข้าไปสู่บทสรุปเทรดดิ้งเหมือนธุรกิจน้ำมัน ซึ่งการตัดสินใจทำเทรดดิ้งก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแหล่งโมซัมบิก อย่างไรก็ตามหากจะนำเข้า LNG ก็ต้องรอความชัดเจนแผนพัฒนาการผลิตไฟฟ้าของประเทศ(พีดีพี) ก่อน”

นายเทวินทร์ กล่าวว่า การทำเทรดดิ้ง LNG ปตท. ก็ต้องเตรียมคลัง LNG ไว้รองรับเพิ่มเพื่อรองรับความต้องการตลาดLNG ในภูมิภาคอาเซียน โดยปตท.อยู่ระหว่างศึกษาจะดำเนินการสร้างคลัง LNG เพิ่มทั้งบนบก เช่น คลัง LNG ที่หนองแฟบเฟส2 ขนาดรองรับ 7.5 ล้านตัน จากปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างคลังLNG เฟสแรกที่หนองแฟบ ขนาด7.5 ล้านตัน รวมถึงคึกษาสร้างคลัง LNG ลอยน้ำ หรือ FSRU ในเมียนมา และที่อ.จะนะ อ.ขนอม เพื่อมาทดแทนก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ลดลง ขณะที่ยังอยู่ระหว่างมองหาการนำเข้า LNG จากแหล่งอื่นๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากแหล่งโมซัมบิก เช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ซึ่งก็มีโอกาสที่จะนำเข้าเพื่อรองรับการทำทรดดิ้งในอนาคตด้วย

นอกจากนี้นายเทวินทร์ยังกล่าวถึงทิศทางราคาน้ำมันว่า หลังจากที่ตลาดมีความกังวลเรื่องสหรัฐคว่ำบาตรอิหร่าน กลุ่มโอเปกลดกำลังการผลิตน้ำมัน ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันนอกโอเปกอย่างสหรัฐไม่สามารถผลิตน้ำมันออกมาได้ในปริมาณมากตามแผนได้นั้นส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ70ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทางกลุ่มปตท.จึงได้ปรับประมาณการราคาน้ำมันดิบดูไบในปีนี้เป็น 65-70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

สำหรับสถานการณ์พลังงานที่เปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (Discruptive Technology) ปตท.ก็ได้เตรียมปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์ โดยดำเนินกานในรูปแบบกลยุทธ์ 3D ได้แก่ Decide Now ซึ่งเป็นการเร่งตัดสินใจการลงทุนเพื่อการเติบโต โดยมุ่งเน้นความชำนาญในธุรกิจปัจจุบัน และต่อยอดธุรกิจเดิม เช่น การลงทุนในรูปแบบห่วงโซ่ธุรกิจไฟฟ้า (Electricity Value Chain) ,LNG Value Chain ,การขยายสถานีบริการปตท.และร้านคาเฟ่ อเมซอนไปยังต่างประเทศ โดยตั้งเป้าจะใช้เงินลงทุนราว 70% ของเงินลงทุนทั้งหมด

ส่วนการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน โดยการเพิ่มผลผลิต (Productivity Improvement) ซึ่งจะใช้งบลงทุนรองลงมา ซึ่งในปีที่ผ่านมากลุ่มปตท.สามารถสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี (EBIT) ได้ราว 3 หมื่นล้านบาท และปีนี้จะพยายามทำให้มากกว่าในปีที่แล้ว

ส่วนการลงทุนโรงงานผลิตแบตเตอร์สำรองไฟฟ้าคาดว่าจะได้ข้อสรุปการลงทุนภายในปีนี้ นอกจากนี้ปตท.ก็สนใจเป็นผู้นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ามาจำหน่ายโดยยังอยู่ระหว่างการเจรจากับค่ายรถยนต์หลาย ขณะการลงทุนปั้มชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในสถานีบริการน้ำมันของปตท.ตั้งเป้า21แห่งภายในปี2562 โดยอยู่ระหว่างขออนุญาตการติดแท่นชาร์จไฟฟ้าและจำหน่ายไฟฟ้าจาก คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)

www.mitihoon.com