คาดแรงขาย (ต่างชาติ) จะเริ่มเบาบาง รอแรงซื้อกลับ

246

เรายังคงประเมินว่าแรงขายหนักของนักลงทุนต่างชาติในช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา (ภายในเดือนเดียว นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท) การปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติ เราเชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากการ Rebalance MSCI (เพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นจีน ลดน้ำหนักตลาดหุ้นอื่นๆในเอเชีย) ซึ่งเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา (สำหรับการ Rebalance รอบแรก) ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศยังแข็งแกร่งไม่ว่าจะเป็น i) ตัวเลขการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนเดือน เม.ย. ที่ดีกว่าคาด และความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญปลดล๊อก พรป. เลือกตั้งทั้ง 2 ฉบับแล้ว โดยฝ่ายวิจัยฯคาดการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นภายใน 1H62 ปัจจัยลบที่เกิดขึ้นคาดว่ามาจากปัจจัยต่างประเทศคือประเด็นเรื่องสงครามการค้าของสหรัฐฯกับประเทศต่างๆ ซึ่งเราประเมินว่าเป็นเพียง “Noise” ที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นระยะสั้นเท่านั้น

สำหรับในมุมของ Valuation ตลาดหุ้นไทย เราประเมินว่าอยู่ในระดับที่เริ่มน่าสนใจ โดยในเชิงพื้นฐาน Forward PE ปีนี้อยู่ที่ 15.7 เท่า คิดเป็นค่าเฉลี่ยระยะยาว – 0.5SD ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลทั้งของสหรัฐฯ จะเริ่มชะลอการปรับขึ้นหลังเฟดเองแสดงท่าทีชัดเจนว่ายอมรับได้ที่อัตราเงินเฟ้อจะทะลุเป้าหมาย ทำให้ตลาดฯกลับมาคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟดปีนี้กลับมาเหลือ 3 ครั้ง (เป็นบวกในมุมของ Valuation ตลาดหุ้นโลก และเม็ดเงิน Fund flow) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี เองก็น่าจะมีอัพไซต์ในการปรับขึ้นอีกไม่มาก เนื่องจากได้ปรับขึ้นมา >0.3% สะท้อนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ไปแล้ว (เป็นบวกในมุมของ Valuation ตลาดหุ้นไทย)

กรอบดัชนี SET index สัปดาห์นี้ 1710 – 1750 จุด (กรณีเลวร้าย 1700 จุด) และยังคงประเมินว่าการปรับลงของดัชนี ตามการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในไทยไม่เปลี่ยนแปลง เป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้น เราแบ่งธีมการลงทุนออกเป็น 3 ธีมดังนี้

1) หุ้นกลุ่มเชื่อมโยงตัวเลข GDP ไทย ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, COM7) และกลุ่มยานยนต์ (SAT, AH) กลุ่มสื่อ (PLANB)

2) หุ้น Earnings bottom ใน 1Q61 และ Earnings momentum 2Q61 – 3Q61 โตต่อเนื่อง ได้แก่ CPF (ราคาสุกรฟื้นตัว), SIMAT (รับรู้รายได้การซื้อกิจการใหม่ตั้งแต่เดือน มิ.ย.), EPG (คาดผลประกอบการพ้นจุดต่ำสุดแล้ว รอการฟื้นตัวในปีนี้)

3) หุ้นกลุ่มนิคมฯ และรับเหมาฯ คาดจะยังได้อานิสงส์จากการที่ พรบ EEC มีผลบังคับใช้ เลือก WHA, CK

โดยสุโชติ ถิรวรรณรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัย

บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)

www.mitihoon.com