Maybank ชี้ Fixed Income มาแรง – หุ้น Quality Growth ยังครองแชมป์ตลาดทุน เจาะสไตล์บริหารพอร์ตนักลงทุนไทย เชื่อมือกูรูระดับโลก-ประสบการณ์สูง

213

มิติหุ้น – เมย์แบงก์ ส่งสัญญาณทิศทางการลงทุนทรงตัว แต่สามารถเขย่าตลาดซื้อขายด้วยแรงบวกมากมาย ทั้งอัตราดอกเบี้ยคงที่ จีนเปิดประเทศ และเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยว พร้อมแนะนำนักลงทุนแบ่งสัดส่วนลงทุนกว่าครึ่งไปที่ตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล และกลุ่มสินทรัพย์ธุรกิจใหญ่เติบโตอย่างมีคุณภาพ และชี้เป้าพฤติกรรมนักลงทุน ยังคงเชื่อมั่นในบริษัทหลักทรัพย์ที่มีพันธมิตรแข็งแกร่งระดับโลก ซึ่งหลังจากประกาศจับมือกับผู้เชี่ยวชาญอย่าง BNY Mellon ทำให้เมย์แบงก์สามารถส่งต่อกลยุทธ์บริหารพอร์ตด้วยประสบการณ์และเครื่องมือสนับสนุนการลงทุน โดยคำนึงถึงเป้าหมายของนักลงทุนเป็นสำคัญ และยังเป็นฐานกำลังที่มีศักยภาพสูงรองรับแผนงานจัดการกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund License) ภายในปี 2566 นี้

จากประสบการณ์ดูแลนักลงทุนทั่วโลกในมูลค่าสินทรัพย์กว่า 2.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐในมือ… คาร์เรน ชาง Head of Asia ex Japan Client Solutions แห่ง BNY Mellon ให้ความเห็นถึงสถานการณ์การลงทุนในปีนี้ยังทรงตัว โดยคาดการณ์ว่าแนวทางการขึ้นดอกเบี้ยของ FED น่าจะหยุดลงแล้ว และยังพบว่าที่ผ่านมานักลงทุนหันมาซื้อพันธบัตรมากขึ้นและได้กำไรจากตราสารหนี้ (Bond) ส่วนภาพรวมของการลงทุนในหุ้นไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยปรับฐานอยู่ในทิศทางเดียวกันในหลายประเทศในโลก ในขณะที่การลงทุนในค่าเงินนั้น พบว่าส่วนต่างของสกุลเงินต่างๆ มีความใกล้เคียงกัน แต่พบว่าสกุลเงินยุโรปถูกกว่า จึงทำให้เห็นโอกาสลงทุนมากกว่า

สำหรับความเสี่ยงหรือปัจจัยที่อาจกระทบกับการลงทุนนั้น ผู้เชี่ยวชาญจาก BNY Mellon เผยว่าปัจจัยภายนอกในต่างประเทศ อย่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน อาจมีผลอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าและรับมือได้อยู่แล้ว แต่อยากให้นักลงทุนจับตาการประกาศอัตราเงินเฟ้อของ FED ตลอดจนคว้าโอกาสจากตลาดจีน ซึ่งเชื่อว่าเมื่อจีนเปิดประเทศ จะมีอิทธิพลและเอื้อประโยชน์ต่อเอเชียทั้งหมด ซึ่งพิจารณาได้จากการปริมาณนักท่องเที่ยวจีนที่ออกเดินทางนอกประเทศมากขึ้น ตลอดจนพฤติกรรมคนจีนมีเงินออมสูง จึงมีกำลังซื้อสูงด้วยเช่นกัน บวกกับการสานต่ออำนาจบริหารประเทศของสีจิ้นผิง ทำให้นโยบายต่างๆ ของจีนจะมีความต่อเนื่อง เกิดเสถียรภาพในการลงทุน

ส่วนข้อแนะนำสำหรับนักลงทุนนั้น  คาร์เรน ชาง เชื่อว่านักลงทุนจะมีโอกาสทำกำไรจากสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย  หรือการลงทุนแบบไม่เสี่ยงมากนัก อย่าง Fixed Income ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล ยกตัวอย่าง ตราสารหนี้  High Yield income ซึ่งออกโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยแนะนำนักลงทุนควรถือครองในระยะยาวเพื่อกระจายความเสี่ยง ตลอดจนหุ้นที่มี Quality Growth หรือเป็นบริษัทใหญ่ที่เติบโตอย่างมีคุณภาพ และสถานะการเงินที่แข็งแรง รวมทั้งพวกกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Tech) แต่ไม่แนะนำหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคาร เพราะมีความเสี่ยงสูงเกินไป

โดยแนะนำสัดส่วนในการลงทุนที่เหมาะสมนั้นควรอยู่ที่ Fixed Income 50-60 % และหุ้น 40-50% ซึ่งควรบริหารพอร์ตด้วยการใช้โอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของตลาด พร้อมเฝ้าระวังและคอยอัพเดทสถานการณ์หรือเหตุการณ์เกินกว่าที่คาดคิด (Event Risk) เพื่อปรับเปลี่ยนพอร์ตของนักลงทุนให้เหมาะสม โดยสามารถสลับสับเปลี่ยนการลงทุนภายในพอร์ตได้อย่างอิสระ แต่แนะนำว่าควรรักษาสัดส่วนประเภทการลงทุนไว้ตามเดิม

ด้านการลงทุนต่างประเทศนั้น กูรูจากบีเอ็นวาย เมลลอน มองว่าตลาดสหรัฐและญี่ปุ่น มีความน่าสนใจ แต่ไม่แนะนำให้พิจารณาที่ประเทศเท่านั้น เพราะนักลงทุนคสรพิจารณาจาก Core Business เป็นหลักมากกว่า ส่วนตลาดยุโรปยังมีความผันผวน โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารยุโรปที่ไม่เข้มแข็ง ตลอดจนนโยบายและกฎเกณฑ์ต่างๆ ไม่เอื้อให้นักลงทุนมั่นใจ

กรณีการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก อาทิ การลงทุนในทองคำและสกุลเงินดิจิทัล ยังมีความผันผวนและกฎหมายไม่แน่นอน ไม่มีงบกระแสเงินสดให้วิเคราะห์อย่างชัดเจน แต่ก็ยังสามารถลงทุนได้ในสัดส่วน 15% อาจจะช่วยกระจายความเสี่ยงได้ ในขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องทำความเข้าใจในเงื่อนไขและตัวแปรต่างๆ พร้อมพิจารณาจากระยะเวลาในการถือครอง และเป้าหมายทางการเงินของตัวเอง ตลอดจนรับมือกับมุมมองทางการเงินอย่างรอบด้านด้วย

ทั้งนี้ หากวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของนักลงทุนในปัจจุบัน อภิญญา องค์คุณารักษ์ CFA CAIA  กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นเสริมว่า นักลงทุนมักเลือกลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการวางแผนการลงทุนเข้ามาช่วยจัดพอร์ตลงทุนในระยะยาว รวมทั้งมองหาเครื่องมือในการช่วยวิเคราะห์เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และตอบสนองความต้องการลงทุนในตลาดทุนต่างประเทศ ซึ่งการลงทุนผ่านทีมที่ปรึกษานักลงทุนระดับมืออาชีพที่เข้าใจในตลาดแต่ละประเทศจึงมีความสำคัญอย่างมาก

และเพื่อให้นักลงทุนสามารถทำกำไรและบรรลุเป้าหมายทางการเงินอย่างที่ต้องการ เมย์แบงก์จึงอาศัยประสบการณ์กว่า 50 ปี ในการดูแลพอร์ตลงทุนรวมสินทรัพย์กว่า 1.7-1.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ สร้างผลตอบแทนไปแล้วกว่า 2.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 9.9 แสนล้านบาทของ BNY Mellon  โดยมุ่งหวังสร้างทางเลือก (Option) ลงทุนทั่วโลกผ่านโมเดลพอร์ตการลงทุนที่เหมาะกับคนที่ต้องการลงทุนระยะยาวรวมทั้งหมด 10 พอร์ต แบ่งเป็นพอร์ตลงทุนที่มีความเสี่ยงแตกต่างกัน 5 พอร์ต และพอร์ตลงทุนที่วางแผนตามเป้าหมายของนักลงทุนอีก 5 พอร์ต เริ่มต้นเงินลงทุนที่ 1 ล้านบาทขึ้นไป

“เมย์แบงก์และ บีเอ็นวาย เมลลอน พร้อมใช้เครื่องมือที่หลากหลายเพื่อสร้างโอกาสให้กับนักลงทุนไทย เลือกลงทุนในกองทุนต่างประเทศ หุ้น และตราสารหนี้ บนพื้นฐานความเสี่ยงที่รับได้และให้เป็นไปตามเป้าหมายทางการเงิน ซึ่งการจับมือกันนอกจากจะเสิร์ฟลูกค้าได้อย่างตรงจุด และช่วยแนะนำแผนการลงทุนที่หลากหลายให้กับลูกค้านักลงทุนแล้ว ยังช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งของเมย์แบงก์ในการ Investment Firm ที่สามาถตอบโจทย์ครบจบในที่เดียว ตอกย้ำศักยภาพที่เพิ่มมากขึ้นรองรับบทบาท Private Fund License ภายในสิ้นปี 2566 อีกด้วย” อภิญญา กล่าวทิ้งท้าย

 

 

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon