BANPU ปักหลักโต เดินตามกลยุทธ์ Greener & Smarter

1313

ในปี 2566 ราคาพลังงานโลกยังคงผันผวนอยู่ในระดับสูง เนื่องจากมีความกังวลต่อสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย (Recession fears) อย่างไรก็ดี ราคาก๊าซธรรมชาติที่เริ่มปรับตัวอ่อนลงในช่วงต้นปี 2566 และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นสูงในช่วงกลางปี 2566 เพราะในตลาดก๊าซธรรมชาติยังคงมีการแข่งขันเพื่อ Secure อุปทาน โดยเฉพาะจากยุโรปที่ต้องการนำเข้า LNG (liquified natural gas)

สำหรับราคาถ่านหินที่ลดลง และยังคงผันผวนอยู่ในระดับที่สูงมาก สาเหตุจากความต้องการใช้ที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่อุปทานอาจมีแรงกดดันจากปัจจับสภาพอากาศในบริเวณเหมือง และข้อจำกัดด้านการขนส่งในบางแหล่ง

ทั้งนี้ จากความผันผวนที่รุนแรงของราคาถ่านหิน และราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง ทำให้บริษัทที่ดำเนินธุรกิจพลังงานได้รับผลกระทบทั้งเชิงลบ และเชิงบวก ทั้งมาก และน้อย ซึ่งทาง บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือBANPU ที่เป็นหนึ่งในบริษัทที่ประกอบธุรกิจพลังงานก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ที่ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน

ชี้เป้าปริมาณขายถ่านหินแตะ 42 ล.ตัน

นางสมฤดี ชัยมงคล CEO BANPU” ได้ตั้งเป้าปริมาณการขายถ่านหินในปี 2566 ราวๆ 42 ล้านตัน แบ่งเป็นในประเทศอินโดนีเซีย ประมาณ 22.5 ล้านตัน, ออสเตรเลีย 8.8 ล้านตัน และจีน 10 ล้านตัน เพราะเชื่อว่าหลังจีนเปิดประเทศจะเป็นปัจจัยบวก ที่ส่งผลดีต่อความต้องการถ่านหินเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2566 ขณะเดียวกันทางรัฐบาลอินโดนีเซียได้อนุญาตให้ส่งออกถ่านหินโดยรวมเพิ่มขึ้น รวมถึงคาดว่าปริมาณการขายก๊าซธรรมชาติปี 2566 จะใกล้เคียงกับปี 2565 ที่ 280 พันล้านลูกบาศก์ฟุต หรือเทียบเท่า

อีกทั้ง บริษัทได้วางกลยุทธ์ในปี 2566-2568 โดยบริษัทจะเดินหน้าสร้างการเติบโตตามกลยุทธ์ Greener & Smarter ซึ่งบริษัทจะวางแนวทางสำคัญสำหรับ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน สำหรับธุรกิจเหมือง ซึ่งจะมุ่งเน้นด้านประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อส่งมอบสินค้าคุณภาพ รวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพสูง เช่น แร่แห่งอนาคต (Strategic Minerals)

2.กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน สำหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน ที่จะมุ่งเน้นเพิ่มมูลค่าและรักษาประสิทธิภาพการผลิตในโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ให้สามารถสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง โดยเฉพาะการเพิ่มมูลค่าของธุรกิจไฟฟ้าในสหรัฐเมริกา และเดินหน้าไปสู่การซื้อขายไฟฟ้าในตลาดไฟฟ้าเสรี รวมถึงมองหาโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

3.กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน โดยจะเดินหน้าสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดในพอร์ตธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงและมีศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสด รวมทั้งร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่ส่งเสริมศักยภาพ และการเติบโตซึ่งกันและกัน รวมถึงแสวงหาการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ

โบรก ชี้ Q2 กำไรลดลงต่อ

ด้าน บล.ดาโอ ปรับคำแนะนำหุ้น BANPU จากเดิม “ซื้อ” ในราคา 14.50 บาท เปลี่ยนเป็น “ถือ” ในราคา 9.00 บาท สาเหตุจากที่ทางบริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2566 ที่ 5 พันล้านบาท ต่ำกว่าฝ่ายวิจัยคาด 16% หลักๆ จากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A expense) ที่สูงกว่าคาด

ทั้งนี้ จากกำไรสุทธิที่ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 (YoY) หลักๆ เป็นผลมาจากราคาก๊าซธรรมชาติ US ที่อ่อนตัว ในขณะที่ฟื้นตัวขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2565 (QoQ) เนื่องจากการไม่มีรายการตั้งสำรองเผื่อด้อยค่าของสินทรัพย์ ของเหมืองในมองโกเลีย อย่างไรก็ตามยังคงคาดว่ากำไรของบริษัทจะอ่อนตัวใน ไตรมาส 2 ปี 2566 ตามแนวโน้มของราคาถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติที่ลดลง จากอุปสงค์การใช้พลังงานความร้อนที่ต่ำกว่าคาดในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมาของประเทศตะวันตก

บล.บัวหลวง กล่าวว่า จากการรายงานกำไรสุทธิของ BANPU ในไตรมาส 1 ปี 2566 ที่ 4.99 พันล้านบาท หักรายการพิเศษกำไรหลักอยู่ที่ 3.78 พันล้านบาท ลดลง 57% YoY และ 83% QoQ ต่ำกว่าที่ฝ่ายวิจัยและตลาดคาด 38% และ 56% ตามลำดับ เกิดจากกำไรธุรกิจแก๊สและถ่านหินที่ออกมาต่ำกว่าคาด

ทั้งนี้ จากแนวโน้มไตรมาส 2 ปี 2566 ยังคงคาดว่าลดลงต่อ เนื่องจากราคาขายเฉลี่ย จึงปรับลดประมาณการกำไรของปี 2566 ลงที่ 59% สะท้อนราคาถ่านหินที่ลดลง ส่งผลให้ บล.บัวหลวงปรับราคาเป้าอยู่ที่ 9.30 บาท จากเดิม 11.90 บาท อย่างไรก็ตามยังคงแนะนำให้เลี่ยง

BANPU เข้าสู่ปี ElNino

ขณะที่ บล.คิงส์ฟอร์ด แนะนำให้ “ถือ” หุ้น BANPU โดยประเมินราคาปี 2566 ที่ 10.00 บาท จากเดิมอยู่ที่ 12.20 บาท เนื่องจากแนวโน้มของผลประกอบการยังคงมีปัจจัยกดดันจากราคาถ่านหิน และราคาก๊าซธรรมชาติ ที่น่าจะปรับลดลงต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปี 2566 หลังผ่านช่วงฤดูหนาว การเข้าสู่ปี ElNino หรือปรากฎการณ์เอลนีโญ รวมถึงมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัวลง

นอกจากนี้ บล.กสิกรไทย ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น BANPU ที่ 10.20 บาท แม้ว่าบรรยากาศการซื้อขายจะอยู่ในเชิงลบจากกำไรไตรมาส 1 ปี 2566 ที่น้อยกว่าคาด เพราะกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2566 อยู่ที่ 5 พันลบ. ซึ่งน้อยกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ 20% จากต้นทุนต่อหน่วยที่อยู่ระดับสูงกว่าคาดของเหมืองถ่านหินออสเตรเลีย ส่งผลให้ บล.กสิกรไทย มองว่า กำไรไตรมาส 2 ปี 2566 ยังคงอ่อนตัวลง QoQ จากราคาถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ทำให้ยังคงมุมมองเดิมที่คาดว่ากำไรไตรมาส 2 ปี 2566 จะต่ำที่สุดของปี 2566 นี้

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon